วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

ฮวงจุ้ยกับตู้ปลา

ตามความเชื่อของชาวจีน หมายถึง ศาสตร์ของการจัดที่อยู่อาศัย ที่อาศัยความสัมพันธ์ของธาตุทั้งสี่ นั่นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เชื่อกันว่าหากจัดบ้านให้ถูกต้องตามโฉลกแล้ว จะช่วยเสริมส่งให้เจ้าของบ้านเจริญรุ่งเรือง มีเงินทองไหลมาเทมา ปราศจากพลังร้ายทั้งปวง นอกจากการจัดวางสิ่งของทั่วไปภายในบ้านแล้ว สิ่งหนึ่งที่บ้าน และบริษัทต่าง ๆ นิยมใช้เพื่อตกแต่ง และผ่อนคลายสายตา ก็คือ ตู้ปลา หรือบ่อเลี้ยงปลานั่นเอง การจัดตู้ปลาให้ถูกหลักฮวงจุ้ย เชื่อว่าจะช่วยดึงดูดเงินเข้าบ้าน ให้ผู้อยู่อาศัยเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยยิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งมีหลักง่ายๆ ดังนี้
ส่วนที่เหลือ1. รูปร่างของตู้ปลา• ลักษณะของตู้ปลาที่ดี ควรเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมยาว เป็นธาตุไม้ เชื่อว่าจะส่งเสริมให้เจ้าของบ้านเจริญก้าวหน้า เพราะน้ำจะช่วยให้ไม้เติบโต หรือว่าจะเลือกเป็นทรงกลมก็เป็นมงคลเช่นกัน เพราะทรงกลมจัดว่าเป็นธาตุน้ำ จะช่วยเสริมส่งพลังน้ำด้วยกันให้ดียิ่งขึ้น• ถ้าเป็นบ่อปลา หรือสระน้ำ ต้องมีลักษณะของโค้งมน ไม่มีเหลี่ยม หรือมุมแหลม ซึ่งมีลักษณะที่เป็นภัยกับเจ้าของบ้าน
2. การจัดวาง• ตำแหน่งของตู้ปลา บ่อปลา หรือสระน้ำ ก็มีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน ควรจัดวางให้ตู้ปลา อยู่ในทิศที่ถูกกับธาตุน้ำ เช่น ทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตามหลัก ฮวงจุ้ย ธาตุที่ประจำอยู่ตามทิศต่างๆ มีดังนี้- ธาตุน้ำ ประจำอยู่ทิศเหนือ- ธาตุดิน ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้- ธาตุไม้ ประจำอยู่ทิศตะวันออก และทิศตะวันออกเฉียงใต้- ธาตุไฟ ประจำอยู่ทิศใต้- ธาตุทอง ประจำอยู่ทิศตะวันตก และทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นอกจากจะตั้งตู้ปลาให้ถูกตามทิศแล้ว ถ้าเป็นทิศที่มีประตูใหญ่อยู่ด้วย จะถือว่าเป็นมงคลมาก เพราะประตูใหญ่นั้นเป็นจุดที่กระตุ้นการไหลเวียนของโชคลาภ ให้เงินทองไหลมาไม่ขาดสาย ถ้าที่อยู่อาศัย หรือที่ทำงานตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่งพอดี สามารถแก้ได้ด้วยการนำน้ำพุมาตั้งไว้บริเวณนั้น เพื่อลดความชั่วร้ายต่าง ๆ ที่จะเข้ามา ให้กระจายเป็นพลังที่ดี
3. ลักษณะที่ดีของตู้ปลา• ตู้ปลา หรือบ่อเลี้ยงปลา ควรมีการไหลเวียนของน้ำ ให้น้ำเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ย หมายถึง ลักษณะของเงินที่หมุนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ• น้ำที่ใช้เลี้ยงปลา ควรจะใส สะอาด มองเห็นตัวปลา มองแล้วรู้สึกผ่อนคลาย และสบายใจ
4. เลี้ยงปลาอะไรดี• ปลาที่นิยมเลี้ยงกัน และถือว่าจะนำพาความร่ำรวย โชคดี และความเจริญต่างๆ มาให้ ได้แก่ ปลาเงินปลาทอง ปลาคาร์ฟ และปลาอะโรวาน่า หรือที่นิยมเรียกกันว่า ปลามังกรนั่นเอง• เมื่อเลือก
ชนิดของปลาที่จะเลี้ยงแล้ว ก็ควรเลือกปลาตัวที่มีลักษณะดีด้วย นั่นคือ ควรดูลักษณะการว่ายของปลา ไม่เลือกปลาที่ว่ายหัวทิ่ม นอกจากนี้ ควรพิจารณาสีสัน และรูปทรงของปลา ให้ดูแล้วสง่างามด้วย• จำนวนของปลาที่นิยมเลี้ยง คือ 1, 4 หรือ 9 ตัว ซึ่งถือว่าเป็นเลขมงคล จะเลือกเลี้ยงจำนวนเท่าใดก็ควรคำนึงถึงขนาดของตู้ปลา และธรรมชาติของปลาชนิดนั้นๆ ว่าชอบอยู่เดี่ยวๆ หรืออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม

Read More

รองเท้า... เลือกยังไงให้เข้ากับสีผิว

รองเท้า ก็สำคัญไม่แพ้เครื่องประดับชิ้นอื่นๆ นะคะ วันนี้ women.mthai จะมาแนะนำรองเท้าให้เหมาะกับรูปเท้า และสีผิวของสาวๆ กันค่ะ อันดับแรก มองรูปเท้าของตัวเองก่อน ใครที่รูปเท้าเรียวอันนี้ไม่มีปัญหาเพราะใส่รองเท้าอะไรก็สวยไปหมด...


ส่วนที่เหลือ
1.ถ้ารูปเท้าแบนราบ ไม่ค่อยมีเนื้อเท้า เลือกรองเท้าที่มีสายสานหรือมีลวดลายด้านหน้า เพื่ออำพรางส่วนที่เป็นจุดอ่อน ไม่ควรเลือกรองเท้าที่เปิดเผยให้เห็นเนื้อหนังมังสามากๆ เพราะจะยิ่งเน้นจุดด้อยของสาวๆ นะคะ
2. สำหรับ สาวๆ ที่มีรูปเท้าอวบ อูม แบบสาวเจ้าเนื้อทั้งหลาย ควรเลี่ยงรองเท้าที่เผยให้เห็นเนื้อเท้าของคุณมากๆ เพราะจะยิ่งอวดความใหญ่โตของเท้าเข้าไปอีก ควรเลือกรองเท้าสีเข้ม เพราะจะช่วยพรางให้เท้าดูเล็กลง และส้นไม่สูงจนเกินไป เพราะสาวเจ้าเนื้อจะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว การใส่รองเท้าสูงนานๆ อาจทำให้ปวดหัวเข่าได้ แต่ถ้ากลัวว่าจะเชย ก็เลือกรองเท้าที่มีลวดลายเล็กน้อย หรือสายรัดข้อเส้นบางๆ ก็เพิ่มความเก๋ได้ไม่น้อยนะ
3. สาวเท้าสีผิวคล้ำ ควรเลือกรองเท้าสีเข้ม อย่าง ดำ น้ำตาล จะได้ไม่ขับสีผิวใหดูเด่นจนเกินไป หลีกเลี่ยงรองเท้าสีสดๆ อย่างแดงแป๊ด ส้มแป๋น เขียวปี๋ เหลืองอ๋อย ก็พอค่ะ
4. สาวเท้าผิวสองสี ต้องเลือกรองเท้าโทนสีผสมที่ดูไม่ร้อนแรง หรือเย็นตาเกินไป เช่น น้ำตาลอมแดง ชมพูอมส้ม เพราะสีเหล่านี้จะขับสีผิวเท้าของเราให้ดูผ่องยิ่งขึ้นค่ะ
5. สาวๆ ที่มีสีผิวเท้าขาวซีด อาจจะได้เปรียบในการเลือกรองเท้าสักนิด แต่ทางที่ดี ควรเลือกรองเท้าสีเข้มๆ หรือหม่นเล็กน้อย เช่น แดงเข้ม เหลืองอมน้ำตาล น้ำตาลไหม้ เพื่อขับสีผิวให้ดูเข้มขึ้น สีจำพวกพาสเทลไม่แนะนำให้ใส่จ้ะ เพราะจะยิ่งทำให้เท้าของสาวๆ ยิ่งซีดเข้าไปใหญ่เลยล่ะ
6. สาวสีผิวเท้าขาวเหลือง ควรเลือกรองเท้าสีสดโทนร้อน จะช่วยขับผิวให้โดดเด่นดูสุขภาพดี หลีกเลี่ยงสีขุ่นๆ อย่าง น้ำตาลหรือเทาเข้ม เพราะจะทำให้ผิวเราดูหมองไม่สดใส

Read More

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

"ตุ๊กตาของเล่นแนวใหม่ของผู้ชาย"





































Read More

ฮวงจุ้ย

สิ่งสำคํญที่ควรรู้ในการจัดสภาพแวดล้อมในอาคารบ้านเรือน
สภาพภายในอาคารบ้านเรือนก็เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในหลักของฮวงจุ้ย ซึ่งจะทำให้ภายในบ้านมีความสมดุลของหยินหยาง ก่อให้เกิดพลังที่ดีต่อครอบครัว สภาพภายในอาคารบ้านเรือนก็เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในหลักของฮวงจุ้ย ซึ่งจะทำให้ภายในบ้านมีความสมดุลของหยินหยาง ก่อให้เกิดพลังที่ดีต่อครอบครัว กิจการเจริญรุ่งเรือง สุขภาพแข็งแรง พี่น้องรักใคร่ปรองดองโดยใช้หลักสถาปัตยกรรมผสมผสานวิชาฮวงจุ้ย ในด้านการตบแต่ง เช่นเรืองของสี รูปทรง ก็จะทำให้สภาพความเป็นอยู่ในบ้านดูดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น สภาพจิตใจก็ดีขึ้น ปัจจัยหลักๆที่ควรนำมาพิจารณา
1) ห้องนอน
2) ทิศหัวนอน
3) ทิศทางประตู
4) ห้องครัว
ห้องนอน
ในหลักของฮวงจุ้ยมีวิธีการพิจารณาดังนี้
- ห้องนอนควรมีอากาศถ่ายเทที่สะดวก ไม่สว่างมากไป เพราะเราต้องการสภาพเป็นหยิน เพื่อใช้ในการพักผ่อน การมีหยางเยอะจะทำให้นอนไม่หลับ จิตใจก็ไม่ปกติ
-ห้องนอน ไม่ควรมีอะไรรกรุงรัง เพราะจะทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย- เตียงนอน ไม่ควรอยู่ตรงกับประตู เพราะพลังชี่ที่เข้ามาจะทำร้ายเราทำให้เกิดโรคเช่น ตัวชา ขาชา ซึ่งขึ้นอยู่กับเราโดนพลังชี่ในส่วนไหนกดทับเราบ่อย
-เตียงนอน ไม่ควรอยู่ใต้คาน เพราะจะโดนพลังชี่กดทับตลอดเวลาที่เรานอน
-ปลายเตียงนอนไม่ควรมีกระจก เพราะจะทำให้คนนอนตกใจตื่นง่าย
-หัวนอนไม่ควรพิงกับพนังห้องน้ำ เพราะห้องน้ำเป็นสิ่งสกปรก จะทำให้สุขภาพไม่ดี

ทิศหัวนอน
- ควรหันหัวนอนไปทิศที่ส่งเสริมธาตุประจำตัวเรา เช่นเราเป็นคนธาตุไม้ ตรงการธาตุน้ำเป็นตัวส่งเสริม ก็ให้หันหัวนอนไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นทิศธาตุน้ำ ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรง
ห้องครัว
ห้องครัวก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ในวิชาฮวงจุ้ยให้ความสำคัญ เพราะในชีวิตประจำวัน วันๆหนึ่งเราต้องกินอาหาร 3 มื้อ ซึ่งก็หมายถึง เราจะต้องใช้ห้องครัวในการประกอบอาหาร อาหารก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรามีร่างกายที่ดี ห้องครัวที่สะอาด ไม่สกปรก เชื้อโรคต่างๆก็ไม่มี แม่บ้านก็อารมแจ่มใสอยากเข้าครัวทำอาหาร การทะเลาะเบาะแว้งก็จะน้อย ดังนั้นในวิชาฮวงจุ้ยมีหลักในการพิจารณาการจัดวางห้องครัว เพื่อให้เกิดพลังงานที่ดี ดังนี้
- เตาไฟ ควรหันไปทางทิศที่ส่งเสริมกับปากเตา เช่น หันไปทางทิศตะวันออก ธาตุไม้ ไม้ส่งเสริมไฟ
- ห้องครัวควรตั้งอยู่ในทิศทางของบ้านในตำแน่งส่งเสริมหรือคู่ธาตุเดียวกัน
- เตาไฟไม่ควรอยู่ตรงข้ามกับก๊อกน้ำ โดยใจหลักการส่งเสริมและพิฆาตมาพิจารณา
ทิศทางประตู
ประตูควรอยู่ในตำแน่งที่ใช้งานง่าย และควรได้รับพลังชี่ที่ดี เพราะประตูก็เหมือนปากของพลังงาน แต่มีข้อห้ามตามหลักฮวงจุ้ยดังนี้
-ประตูไม่ควรอยู่ตรงกัน เพราะจะทำให้พลังงานปะทะกัน หรือ ไหลออกโดยง่าย ซึ่งจะทำให้การกักเก็บชี่ไม่อยู่ ในกรณีเช่นนี้ให้หาตู้โชว์หรือม่านมาบังไว้
- ประตูควรอยู่ในตำแน่งดาวที่ดี (ดาว9 ยุค) ซึ่งอยู่ในหมวดฮวงจุ้ย ดาว9 ยุค
ห้องนอน
นับว่ามีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับชีวิตประจำวัน เพราะในวันหนึ่งๆเราใช้ชีวิตกับการหลับนอนและพักผ่อนเป็นเวลา 8-10ชม หรือ 2ใน3 ของวันไปแล้ว การหลับนอนและพักผ่อนเป็นการสะสมพลังงานเพื่อให้ร่างกายมีกำลังในวันต่อๆไป ดังนั้นห้องนอนจึงเป้นสิ่งสำคัญในการสร้างฮวงจุ้ยที่ดี การมีห้องนอนที่มีฮวงจุ้ยที่ไม่ดีจะทำให้ร่างกายและสุขภาพไม่แข้งแรง ไม่สามารถสู้กับงานในประจำวันได้ก็จะทำให้ชีวิตตกต่ำ เจ็บป่วย การงานไม่ดี เป็นลำดับ ดังนั้นห้องนอนที่ดีจึงควรมีลักษณะทีโปร่ง สะอาด จะทำให้การพักผ่อนและนอนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งกาจัดวางฮวงจุ้ยห้องนอนมีหลักการคร่าวๆดังนี้
1.ห้องนอนควรวางอยู่ในตำแหน่งที่เป็นมงคล
2.หัวนอนไม่ควรติดอยู่กับห้องน้ำ
3.หิศหัวนอนควรเสริมดวงชะตาของผู้นอน
4.ห้องนอนไม่ควรมีของที่เป็นคลื่นไฟฟ้า เช่น ทีวี วิทยุต่างๆ มากจนเกินไป
5.ห้องนอนควรเป็นอิมในเวลานอน(มืด) และเป็นเอี้ยงในเวลากลางวัน(เปิดหน้าต่างให้แสงเข้า)เตียงนอนห้ามโดนสั่วต่างๆเช่นมุมเสา หรือ ของแหลมพุ่งใส่ เพียงแค่นี้คุณก็จะได้ฮวงจุ้ยห้องนอนที่ดีอย่างคร่าวๆแล้ว ซึ่งจริงๆต้องพิจารณาอีกหลายอย่างประกอบซึ่งต้องใช้หลักวิชาการซึ่งจะนำเสนอในตอนต่อไป

Read More

ข้าวกล้องงอก คืออะไร


ข้าวกล้องงอก (germinated brown rice หรือ GABA-rice) ถือเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจาก ข้าวกล้องงอก (germinated brown rice) เป็นการนำข้าวกล้องมาผ่านกระบวนการงอก ซึ่งโดยปกติแล้ว ในตัวข้าวกล้องเองประกอบด้วยสารอาหารจำนวนมาก เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก (Phytic acid) วิตามินซี วิตามินอี และ GABA (gamma aminobutyric acid) ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน และช่วยในการควบคุมน้ำหนักตัว เป็นต้น เมื่อนำข้าวกล้องมาแช่น้ำเพื่อทำให้งอก จะทำให้ข้าวกล้องมีสารอาหาร โดยเฉพาะ GABA เพิ่มขึ้น ซึ่งนอกจากจะได้ประโยชน์จากการที่มีปริมาณสารอาหารที่สูงขึ้นแล้ว ยังทำให้ข้าวกล้องงอกที่หุงสุกมีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม รับประทานได้ง่ายกว่าข้าวกล้องธรรมดาอีกด้วย จึงง่ายแก่การหุงรับประทานได้โดยไม่ต้องผสมกับข้าวขาวตามความนิยมของผู้บริโภคจากการศึกษาทางกายภาพและทางชีวเคมีพบว่า เมล็ดข้าว ประกอบด้วย เปลือกหุ้มเมล็ด หรือแกลบ (Hull หรือ Husk) ซึ่งจะหุ้มข้าวกล้อง ในเมล็ดข้าวกล้องประกอบด้วย จมูกข้าวหรือคัพภะ (Germ หรือ Embryo) รำข้าว (เยื่อหุ้มเมล็ด) และเมล็ดข้าวขาวหรือเมล็ดข้าวสาร (Endosperm) สารอาหารในเมล็ดข้าวประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลักโดยมีโปรตีน วิตามินบี วิตามินอี และแร่ธาตุที่แยกไปอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของเมล็ดข้าว นอกจากนี้ยังพบสารอาหารประเภทไขมันซึ่งพบได้ในรำข้าวเป็นส่วนใหญ่ข้าวเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีการเจริญเติบโตจะมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี การเปลี่ยนแปลง จะเริ่มขึ้น เมื่อน้ำได้แทรกเข้าไปในเมล็ดข้าว โดยจะกระตุ้นให้เอนไซม์ภายในเมล็ดข้าวเกิดการทำงาน เมื่อเมล็ดข้าวเริ่มงอก (malting) สารอาหารที่ถูกเก็บไว้ในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยสลายไปตามกระบวนการทางชีวเคมีจนเกิดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กลง (oligosaccharide) และน้ำตาลรีดิวซ์ (reducing sugar) นอกจากนี้ โปรตีนภายในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยให้เกิดเป็นกรด อะมิโนและเปปไทด์ รวมทั้งยังพบการการสะสมสารเคมีสำคัญต่าง ๆ เช่น แกมมาออริซานอล (gamma-orazynol) โทโคฟีรอล (tocopherol) โทโค ไตรอีนอล (tocotrienol) และโดยเฉพาะ สารแกมมาอะมิโนบิวทิริกแอซิด (gamma-aminobutyric acid) หรือที่รู้จักกันว่า สารกาบา(GABA)
คุณประโยชน์ของสารในข้าวกล้องงอก
1. มีสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มฟิโนลิค (phenolic compounds) ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า ชะลอความแก่
2. สารออริซานอล (orizanal) ช่วยควบคุมระดับ ลดอาการผิดปกติของวัยทอง
3. สารกาบา (GABA) ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ (ความจำเสื่อม) ช่วยผ่อนคลาย ทำให้จิตใจสงบ หลับสบาย ลดความเครียดวิตกกังวล ลดความดันโลหิต
4. เยื่อใยอาหาร (food fiber) ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันมะเร็งลำไส้ และลดอาการท้องผูก
5. วิตามินอี (vitamin E) ลดการเหี่ยวย่นของผิว
จากการวิจัยเบื้องต้นของ อ.พัชรี ตั้งตระกูล จากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการศึกษาหาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมและสภาพการผลิตข้าวกล้องงอกที่มีประสิทธิภาพ พบว่า ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เมื่อนำมาเพาะเป็นข้าวกล้องงอกจะมีสาร GABA มากที่สุด (15.2 - 19.5 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) ซึ่งสูงกว่าข้าวกล้องปกติ ส่วนสภาวะที่จะทำให้ข้าวกล้องงอกได้ดีคือ ต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำราว 48 - 72 ชั่วโมงในหม้อแช่ โดยมีการควบคุมอุณหภูมิ การไหลเวียนน้ำ ความดัน และความเป็นกรดด่างของน้ำ เพื่อให้ความชื้นจากน้ำไปกระตุ้นให้เมล็ดข้าวงอกและเปลี่ยนกรดกลูตามิกไปเป็นสารกาบาอันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ต่อมาเมื่อได้ข้าวกล้องงอกในขั้นตอนนี้แล้ว ก็ต้องทำให้ข้าวกล้องงอกหยุดการงอกต่อไป โดยอบแห้งให้มีความชื้นต่ำกว่า 14% ในหม้ออบแห้ง จากนั้นจึงบรรจุลงในถุงสุญญากาศพร้อมขายเป็น ลำดับสุดท้าย สำหรับข้าวกล้อง ที่สามารถนำมาแช่น้ำให้เกิดการงอกได้นั้นจะต้องเป็นข้าวกล้องที่ผ่านการกะเทาะเปลือกมาไม่นานเกิน 2 สัปดาห์ปัจจุบันผู้ประกอบการภาคเอกชนกำลังให้ความสนใจกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มจากข้าว ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าแนวทางการผลิตและจำหน่ายข้าวในปัจจุบันจะต้องมีการปรับตัวเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวและใช้ประโยชน์จากข้าวอย่างคุ้มค่าด้วยการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในประเทศไทย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) จึงได้ริเริ่มในการพัฒนาโครงการข้าวกล้องงอกเพื่อสุขภาพ โดยร่วมมือกับสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและกลุ่มธุรกิจข้าวรายใหญ่ของประเทศจำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ปทุมไรซซ์มิลล์ แอนด์ แกรนารี จำกัด บริษัท เจียเม้ง จำกัด และ บริษัท ธวัทชัย อินเตอร์ไรซ์ จำกัด ในการพัฒนาสายการผลิตต้นแบบสำหรับผลิตผลิตภัณฑ์ข้าวกล้องงอก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมข้าวของประเทศไทย และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศ รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวไทย ซึ่งโครงการนี้ มุ่งเน้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวกล้องงอกสำหรับรับประทาน ที่มีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม รับประทานง่าย และผลิตภัณฑ์ข้าวกล้องงอกแปรรูปเพื่อสุขภาพต่าง ๆ เช่น อาหารว่าง ซุป และเครื่องดื่ม

Read More

ข้าวกล้องคืออะไร

ข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆกันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไปจนเหลือแต่เนื้อในของข้าว ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไป
ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง
•ได้วิตามินบีรวมช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมองทำให้เจริญอาหาร
• ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้
• ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก
• ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
• ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
• ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน
• ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
• ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล
• ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)
• ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย
• ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย
• วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ข้าวกล้องมีอะไรดีกว่าข้าวขาว ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่าช่วยป้องกันโลหิตจาง
• ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินเป็นประจำ จะป้องกันโรคเหน็บชา
• วิตามินบี 2 มีมากจะป้องกันโรคปากนกกระจอก
• วิตามินบีรวม มีมากกว่าจะป้องกัน และบรรเทาอาการอ่อนเพลียและขาไม่มีแรง อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ ลิ้นแตกหรือมีแผล ริมฝีปากเจ็บหรือมีแผล โรคผิวหนังบางชนิด โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบางชนิด

• วิตามินบีรวม ยังบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้นและเจริญอาหาร
• ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโลหิตจาง
• แคลเซียม มีมากกว่า จะทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
• ไขมัน มีมากกว่าให้พลังงานแก่ร่างกาย
• กากอาหาร มีมากกว่าจะช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
• เกลือแร่และวิตามินต่างๆ ในข้าวกล้อง มีรวมกัน 20 กว่าชนิด มีหน้าที่ทำให้การทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• โปรตีน มีมากกว่าช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) มีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมจะสมบูรณ์ขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น
• ประหยัดเงินทอง เพราะเจ็บป่วยน้อยกว่า ข้าวกล้องจะมีราคาถูกกว่า เพราะต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า
• มีผลทำให้สุขภาพจิตและสติปัญญาดีขึ้น เพราะสุขภาพกายดีขึ้น ผลเสียของการกินข้าวขาว โรคและอาการต่างๆ ต่อไปนี้ จะลดลงมากหรือป้องกันได้ ถ้ากิน ข้าวกล้อง เป็นประจำ และกินอาหารเพียงพอและถูกหลัก
• โรคเหน็บชา เพราะขาดวิตามิน-บี 1 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 1 มากกว่าข้าวขาว 385% (พบมากในประเทศที่กินข้าวขาวเป็นอาหารหลัก)
• โรคปากนกกระจอก เพราะขาดวิตามิน-บี 2 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 2 มากกว่าข้าวขาว 66% (ตามชนบทมีเด็กเป็นโรคปากนกกระจอก 60%)
• โรคโลหิตจาง เพราะขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากข้าวกล้องมีธาตุเหล็กมากกว่าข้าวขาว 2 เท่า (ประชากรไทยเป็นโรคโลหิตจาง 40%)
• โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (พบมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) เกี่ยวเนื่องจากมาจากการขาดธาตุฟอสฟอรัส และอื่นๆ ซึ่งมีในข้าวกล้อง นอกจากนั้นฟอสฟอรัสยังช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันอีกด้วย
• โรคท้องผูก เพราะมีกากอาหารน้อย ข้าวกล้องมีกากอาหารมากกว่า 133% (ข้าวกล้องช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่)
• โรคทางระบบประสาทบางชนิด และโรคปลายประสาทอักเสบ เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง (วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้น และเจริญอาหาร)
• อารมณ์เสียง่ายกว่า หงุดหงิดเพราะชาดวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินที่เสริมสร้างระบบประสาทของร่างกาย และถ้าระบบประสาทของเราไม่ดี ทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนัก
• เบื่ออาหาร เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งข้าวกล้องมีมากกว่าข้าวขาว
• โรคขาดโปรตีน ข้าวกล้องมีโปรตีน ร้อยละ 7-12 (เด็กไทยประมาณร้อยละ 40-60 เป็นโรคขาดโปรตีนและพลังงาน) ข้าวกล้องมีโปรตีนมากกว่าข้าวขาว 20-30%
• โรคผิวหนังบางชนิด ขาดวิตามินบีบางตัว
• อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ ปวดเมื่อยตามตัวและขา เพราะขาดวิตามินบีรวม
• โรคชัก เนื่องจากขาดวิตามิน บี 6 ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง
• ข้าวขาวมีแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) พอๆ กับข้าวกล้อง แต่มีเกลือแร่และวิตามินต่างๆ น้อยกว่าข้าวกล้อง (ในข้าวกล้องจะมีวิตามินรวมกัน 20 กว่าชนิด) ที่ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์
จะเห็นได้ว่า ผลเสียของการกินข้าวขาวมีมากเพราะการขัดสีส่วนที่มีคุณค่าต่อร่างกายออกไปหลายท่านอาจจะกินข้าวขาว เพราะไม่รู้ว่ายังมีข้าวที่มีคุณค่ามากอย่างข้าวกล้องอยู่ จนบางคนไม่เคยรู้จักข้าวกล้องด้วยซ้ำ คนสมัยโบราณแต่ละบ้านจะตำข้าวกินเอง ซึ่งเรียกว่า “ข้าวซ้อมมือ” ซึ่งก็คือ ข้าวกล้อง คนสมัยก่อนจึงมีร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคอย่างที่คนสมัยนี้เป็นกันเท่าไร เช่น โรคเบาหวาน, หัวใจวาย, มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะการกินไม่เป็น…

ข้าวกล้อง ข้าวสีน้ำตาล ไม่สวย ไม่น่ากิน แต่ว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายเรามากมาย ก็เพราะมันเป็นข้าวสีน้ำตาลขี้เหร่ๆ นี่แหละ ผิดกับข้าวขาวที่ถูกขัดสีฉวีวรรณเอาคุณค่าออกจนหมด เรามาดูกันว่าข้าวกล้องให้คุณค่าอะไรต่อร่างกายเราบ้างโปรตีนชั้นดี (ประมาณ 7-12%) ที่เรียกว่ากรดอะมิโนจำเป็น (ESSENTIAL AMINO ACID) วิตามินบีหนึ่ง : โรคเหน็บชา วิตามินบีสอง : โรคปากเปื่อยหรือปากนกกระจอก วิตามินบีสาม : บำรุงผิวหนังและเส้นประสาท วิตามินบีห้า : ช่วยในการรักษาแผล โรคอักเสบต่าง ๆ วิตามินบีหก : บำรุงประสาท กล้ามเนื้อ แพ้ท้อง โปแตสเซียม : ช่วยให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย แคลเซียม : บำรุงกระดูก ป้องกันตะคริว ทำให้เลือดแข็งตัว หัวใจเต้นสม่ำเสมอ ฟอสฟอรัส : บำรุงกระดูกและฟัน บำรุงสมอง ซิลิเนียม : บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ ป้องกันการอุดตันในเส้นเลือด ทองแดง : สร้างเม็ดเลือดแดง และสารฮีโมโกลบินในเลือด เหล็ก : ป้องกันและรักษาโรคโลหิต แมกนีเซียม : ทำให้ต่อมอวัยวะสมบูรณ์ และขจัดพิษบางอย่างได้ ไขมันที่ดี

Read More

ข้าวกล้อง

ประโยชน์ของข้าวกล้อง
ข้าวกล้องของดีเพื่อสุขภาพ

"ข้าวกล้องมีประโยชน์ทำให้ร่างกายแข็งแรง ข้าวขาวเม็ดสวยแต่เขาเอาของดีออกไป หมดแล้ว มีคนบอกว่าคนจนกินข้าวกล้อง เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละเป็นคนจน" พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ข้าวกล้องเมล็ดสีน้ำตาล หน้าตาไม่สวยใสเหมือนข้าวขัดขาว แต่การกินข้ากล้องนั้นทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มได้นานกว่า จึงไม่ทำให้อ้วน เพราะข้าวกล้องอุดมด้วยเส้นใยอาหารและคุณ ค่าทางอาหารมากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว บางคนอาจจะคุ้นเคยกับการเรียกข้าวกล้องว่า ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดง เพราะในสมัยโบราณชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินเอง จึงเรียกกันว่าข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวจึง เปลี่ยนมาเรียกว่า ข้าวกล้อง แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ล้วนแล้ว แต่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน
การกินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา โรคโลหิตจาง กรรมวิธีการหุงข้าวกล้องก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ถ้าใครหุงไม่เป็นอาจทำให้ข้าวแข็งไม่น่ารับประทาน พลอย ทำให้ไม่อยากทานข้าวกล้องไปเสียอีก วิธีง่ายๆ เลยคือเริ่มจาก การเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และควรซาวข้าวเพียงครั้ง เดียวเพื่อไม่ให้สูญเสียวิตามินไปกับน้ำซาวข้าว
ในการหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำในปริมาณที่มากกว่าการหุงข้าว ขาวเพราะข้าวกล้องมีเยื่อหุ้มเมล็ด การดูดซึมน้ำจะยากกว่าจึงต้อง ใช้เวลาหุงนาน แต่เพื่อเป็นการประหยัดเวลาควรจะแช่ข้าวกล้อง ก่อนหุงประมาณ 5-10 นาที ข้าวกล้องที่หุงแล้วจะได้นุ่มหอมน่ารับประทาน
การรับประทานข้าวกล้องนั้น สำหรับผู้ที่รับประทานใหม่ๆ อาจจะ ไม่เคยชิน รู้สึกฝืดคอแต่หากรับประทานไประยะหนึ่งจะรู้สึกว่า ข้าวกล้องหอม ยิ่งเคี้ยวนานๆ ก็จะได้รสชาติหวานอร่อย ได้รส ชาติมากกว่าข้าวขาว เคล็ดลับในการรับประทานข้าวกล้องอีกประการหนึ่งที่อยากจะ แนะนำคือ ควรรับประทานขณะที่ยังอุ่น เพราะข้าวจะนุ่มและ ควรรับประทานข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมด ในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องจะบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วไป

Read More

ก้างปลาติดคอ

บางท่านคงเคยสงสัยว่า เมื่อรับประทานอาหารแล้วเกิดมีก้างปลาติดคอ ควรทำอย่างไร หรือจะปฏิบัติตามคำพูดของคนโบราณที่เคยบอกไว้ เช่น บีบน้ำมะนาวสดๆใส่ในคอสัก 1 ผล หรือกลืนข้าวเหนียวคำใหญ่ๆ โดยไม่ต้องเคี้ยว เพื่อให้ก้างหลุดไปพร้อมข้าวเหนียว หรือดื่มน้ำอุ่นจัด 1 แก้วโต เพื่อให้ก้างอ่อนนิ่ม หรือแม้กระทั่งเอาอุ้งเท้าแมวมาเขี่ยที่ผิวหนังบริเวณลำคอ เนื่องจากแมวชอบกินปลาจะช่วยได้จริงหรือไม่..คำตอบคือ “ไม่ช่วยค่ะ” ก้างปลาเป็นกระดูกแข็งมีปลายแหลม มีส่วนประกอบหลักคือ แคลเซี่ยม ซึ่งไม่สามารถทำให้อ่อนนิ่มหรือย่อยสลายได้ด้วยน้ำผลไม้หรือน้ำอุ่นการกลืนอาหารแข็งๆ เหนียวๆ คำใหญ่เพื่อให้ก้างหลุดนั้น บางครั้งอาจทำให้ก้างตำลึกลงไปในเนื้อเยื่อนั้นๆ ได้มากขึ้นด้วย ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ทำเช่นนั้นค่ะก้างปลาอาจติดได้ตั้งแต่เพดานอ่อน ต่อมทอนซิล ผนังคอหอย โคนลิ้น ฝาปิดกล่องเสียง หรือติดในหลอดอาหารก็ได้ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บบริเวณที่ก้างตำ และยิ่งกลืนยิ่งเจ็บ ถ้าก้างติดอยู่นานวันเข้า อาจมีอาการอักเสบติดเชื้อ เป็นหนอง และมีไข้ได้ รวมทั้งอาจมีเลือดออกมาปนกับน้ำลายได้ด้วย ปกติแล้วก้างปลาติดคอไม่ค่อยมีผลทำให้เสียงเปลี่ยน เว้นเสียแต่ว่าอาการอักเสบลุกลามไปที่กล่องเสียงก็จะทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาของการออกเสียง และปัญหาของการหายใจตามมาได้ก้างปลาติดคอฟดูอาจเป็นเรื่องไม่น่าตกใจ แต่ถ้าก้างนั้นติดอยู่ในหลอดอาหารและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจมีโรคแทรกซ้อน เช่น หลอดอาหารทะลุ มีหนองลามเข้าไปในช่องอกและเยื่อหุ้มหัวใจ อาจทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นผู้ป่วยไม่ควรนิ่งนอนใจควรรีบไปพบและปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆที่รู้สึกมีอาการ
หมายเหตุ...นอกจากก้างปลาแล้ว สิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ก็สามารถติดคอได้ เช่น คลิบเย็บกระดาษ, กระดูกไก่, กระดูกหมู, เนื่อสัตว์ที่เคี้ยวไม่ละเอียด, เหรียญต่างๆ เช่น เหรียญบาท, แบตเตอรี่นาฬิกา, ไม้กลัด เป็นต้น

Read More

กลิ่นปาก

กลิ่นปากหรือปากเหม็น หรือลมหายใจไม่สะอาด หากเกิดขึ้นกับใครก็ทำให้ขาดความมั่นใจ จะปรึกษาใครก็รู้สึกเป็นสิ่งน่าอาย บทความนี้อาจจะช่วยให้ท่านลดกลิ่นปาก ตำแหน่งที่เกิดกลิ่นปากมากที่สุดคือลิ้นเนื่องจากผิวลิ้นหยาบ ดังนั้นหากเกิดกลิ่นปากลองทำความสะอาดลิ้นก่อนเป็นอันดับแรก

กลไกการเกิดกลิ่นปาก
- เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในปากตายทำให้เกิดสาร sulfur ออกมาจึงเกิดกลิ่น
- แบคทีเรียสลายอาหารที่อยู่ในปาก
- น้ำลายลดลงทำให้เชื้อแบคทีเรีย หรืออาหารไม่ถูกชะล้าง

สาเหตุ
- การไม่ดื่มน้ำหรือไม่รับประทานอาหาร ทำให้แบคทีเรียไม่ถูกชะล้างจึงเกิดกลิ่นปาก
- โรคฟัน เช่นฟันผุ สุขลักษณะช่องปากไม่ดี มีการขังของเศษอาหารในช่องปาก
- กลิ่นจากอาหารที่รับประทานเข้าไป เช่นกาแฟ สุรา หอมใหญ่ กระเทียม พริก บุหรี่
- หายใจทางปากเนื่องจากเป็นหวัด
- โรคระบบทางเดินหายใจ เช่นผีในปอด ไซนัสอักเสบ คออักเสบ เป็นต้น โรคบางชนิดเช่น โรคไต โรคตับ การทดสอบ
กลิ่นปากล้างข้อมือด้วยสบู่ให้สะอาดแล้วล้างน้ำจนสะอาด ใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง เลีย 4 ครั้งหลังจากนั้น 30 นาทีให้ดมว่ามีกลิ่นหรือไม่

การดูแลรักษา
- ให้รับประทานอาหารครบ 3 มื้อทุกวัน
- ให้ดื่มน้ำมะนาวซึ่งจะเพิ่มปริมาณน้ำลาย
- ให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว
- เคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอมระหว่างมืออาหาร
- แปรงฟันหลังอาหารทุกครั้ง และให้แปรงลิ้น
- ใช้ Dental flossing
- หากแปรงเสียให้เปลี่ยนแปรง
- ถ้าอาการไม่ดีภายหลังจากได้ปฏิบัติแล้ว 10 วันให้ปรึกษาทันต์แพทย์ หรือแพทย์ของท่าน

กลิ่นปากในเด็ก
ท่านผู้ปกครองหากเด็กมีกลิ่นปากไม่หาย ท่านไม่ต้องกังวลว่าจะเด็กจะมีโรคเหมือนผู้ใหญ่ เช่น โรคที่ศีรษะ คอ และกระเพาะอาหารเพราะว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของกลิ่นปากเกิดจากในปาก สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่
- สุขอนามัยไม่ดี มีเศษอาหารและเชื้อแบคทีเรียเหลือตามซอกฟัน เด็กมักจะมีกลิ่นมากมากในตอนเช้า หากเป็นมากจะมีตอนสาย
- ฟันผุ บางรายเด็กไม่มีอาการปวดฟันแต่มีฟันผุ
- ไซนัสอักเสบทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ นอกจากกลิ่นปากเด็กโดยมากจะเกิดอาการ น้ำมูกไหล ไอกลางคืน
- คออักเสบ เด็กจะมีไข้เจ็บคอ และมีกลิ่นปาก
- ภูมิแพ้ทำให้มีเสมหะไหลไปที่คอทำให้เกิดกลิ่นปากคำแนะนำ
- อย่าทำให้เด็กขาดความมั่นใจ ควรใช้โอกาสนี้สอนเด็กแปรงฟัน และล้างปาก
- เลือกแปรงที่มีขนาดเหมาะกับปากและมีขนอ่อนนุ่มพอควรพร้อมยาสีฟัน ยาสีฟันควรมีสาร fluoride - ควรแปรงฟันพร้อมเด็ก ให้เด็กแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง
- สอนเด็กใช้ Dental flossing
- หากเห็นเศษอาหารติดที่คอก็ให้เด็กกรวกคอบ้วนปาก
- ให้ตรวจฟันทุกปี

Read More

ระวังเชื้อโรคใน"ตู้เย็น"

ตู้เย็น" เป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่แทบทุกบ้านจะต้องมีไว้ใช้ เพราะตู้เย็นช่วยให้เรามีน้ำเย็นๆ ดื่มแก้กระหาย มีน้ำแข็งไว้ให้เราดับร้อนเวลาที่อุณหภูมิพุ่งสูงปรี๊ด และประโยชน์ที่สำคัญอีกอันหนึ่งของตู้เย็นก็คือไว้ใช้เก็บอาหารให้ได้นานขึ้น ทั้งอาหารสดประเภทเนื้อสัตว์ และผักสดต่างๆ และอาหารสำเร็จรูปที่อาจยังกินไม่หมด ก็สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อยืดระยะเวลาการบูดเน่าได้แต่บางบ้านเห็นตู้เย็นเป็นที่ขังลืม แช่ข้าวของต่างๆ ไว้มากมายจนหยิบออกมาใช้ไม่ทั่วถึง ผักสดบางอย่างก็เริ่มเน่าหรือราขึ้นบ้าง อาหารบางอย่างก็เริ่มเน่าเสีย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะจะทำให้เกิดแบคทีเรียร้ายในตู้เย็น หรือแบคทีเรียลิสเทอเรีย (Listeria) ที่สามารถเจริญได้ดีที่อุณหภูมิตู้เย็น โดยเฉพาะเมื่อมีการเก็บรักษาอาหารไม่ถูกวิธี ก็จะทำให้แบคทีเรียยิ่งเจริญเติบโต และหากแบคทีเรียนั้นเข้าสู่ร่างกายคนก็จะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตถึง 30 เปอร์เซ็นต์ดังนั้นหากไม่อยากให้เกิดแบคทีเรียมาปนเปื้อนกับอาหารที่เรากินเข้าไป ก็จะต้องระมัดระวัง โดยหากเป็นผักสดควรเก็บไว้ประมาณ 3-4 วัน เนื้อสัตว์สดเก็บได้ประมาณ 5 วัน และหากจะนำมาประกอบอาหารก็ต้องล้างให้สะอาดก่อน ส่วนอาหารที่ปรุงสุกแล้วควรกินให้หมดไม่ควรแช่ตู้เย็น แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องปิดฝาให้เรียบร้อยแล้วจึงนำเข้าตู้เย็น ที่สำคัญก็คือต้องทำความสะอาดตู้เย็นเป็นประจำ อย่าให้มีของเหลือค้างเป็นดีที่สุด

Read More

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ตุ๊กตาบลายธ์

ประวัติตุ๊กตา Blythe (บลายธ์)"Blythe"(บลายธ์) คือตุ๊กตาวินเทจที่ถูกออกแบบขึ้นในปี 1972 โดย Kenner โรงงานผลิตของเล่นในอเมริกา ที่ต้องการสร้างตุ๊กตาให้ต่างจากตุ๊กตาทั่วไปด้วยโมเดลตุ๊กตา 4 แบบ ชื่อ Blythe, Karess, Willow และ Skye พร้อมแฟชั่นเครื่องแต่งกายกว่า 12 ชุด โดดเด่นด้วยดวงตากลมโตที่เปลี่ยนสีได้ 4 สี เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ แต่มันกลับเป็นตุ๊กตาที่เด็กๆ หวาดกลัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บลายธ์ไม่เป็นที่นิยม จนต้องปิดตัวลงหลังวางขายได้เพียง 1 ปี
30 ปีต่อมา จากสินค้าค้างสต๊อกกลับเป็นตุ๊กตาหายากที่ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสม หลังจากที่เพื่อนสนิทของ Gina Garan (โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน) ได้มอบตุ๊กตาเป็นของขวัญ เธอก็ตกหลุมรักมัน เริ่มพามันเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ขณะเดียวกันเธอก็เริ่มฝึกถ่ายภาพจากกล้อง SLR โดยมี Blythe เป็นนางแบบจนถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมภาพถ่ายชื่อ This is Blythe รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 เล่มในปี 2001
หลังจากที่ Hasbro ผู้สืบทอดกิจการจาก Kenner ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้บริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น Blythe ก็เริ่มเป็นที่รู้จักและกลายเป็นตุ๊กตายอดนิยมของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาทีวีให้กับห้างดัง Parco จนกลายเป็นกระแส Blythe ฟีเวอร์ ได้รับความสนใจจากคนในแวดวงแฟชั่น มีการระดมสุดยอดดีไซเนอร์มาร่วมออกแบบเสื้อผ้าตัวจิ๋วให้เหล่านางแบบ Blythe ได้สวมเดินเฉิดฉายอยู่บนแคตวอล์กกลางกรุงโตเกียว
และในปี 2001 Takara ได้รับหน้าที่แปลงโฉม Blythe ให้โดดเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมชื่อใหม่ "Neo Blythe" และนับแต่นั้นมาก็มีคอลเลกชั่นต่างๆ ของ Neo Blythes ขึ้นมากมาย นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว Blythe สายพันธ์ใหม่ "Petite Blythe" ด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเพียง 4 1/2 นิ้ว ปิดท้ายด้วย Blythe Belle ตุ๊กตาพีวีซีที่จำลองและย่อส่วนขนาดของ Blythe ให้เหลือเพียงแค่ 3 นิ้ว




Read More

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

การให้ธรรมะพ่อแม่ เป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด

"การให้ธรรมะพ่อแม่ เป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด"(สมเด็จโต พรหมรังสี) ลูกเอ๋ย...ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง ใจน้อย โกรธง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม จิตใจก็หมดความสุขสดชื่น ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่ เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เจ้าช่วยท่านให้ได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอน อันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น แต่จิตใจของท่าน หาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใส ไม่เจ้าจงจำไว้ว่า การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ การให้ธรรมะ ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆให้พ่อแม่ของเจ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา สวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ธรรมะจะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด เจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย....."ธรรมโอสถ".....คำสอนของสมเด็จโต ท่านได้บันทึกเอาไว้ด้วยลายมือของงท่าน อันเป็นอมตะวาจา......

Read More

เลือกหมอนนอนสบาย

เลือกหมอน . . . ให้หลับสบาย
ความทุกข์ของคนอาจจะเกิดจากเป็นโรค บางคนถ่ายไม่ได้หรือถ่ายลำบากก็ทุกข์ รับประทานมากเกินไปหรือน้อยเกินไปก็ทุกข์ การนอนไม่หลับก็เป็นทุกข์โดยเฉพาะผู้สูงอายุ การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เป็นการพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ หลังจากที่ได้ทำงานหนักทั้งกายและใจ การจะนอนให้หลับฝันดีต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง การเลือกหมอนที่เหมาะสมก็อาจจะทำให้นอนหลับดีขึ้น และยังลดอาการปวดหลังหรือปวดคอ ช่วยให้คุณหลับสบายมากขึ้น
วิธีการหนุนหมอน
1. นอนหงาย ตำแหน่งที่จะใช้หนุน ได้แก่ บริเวณศีรษะ คอ ไหล่ และเข่า
2. นอนตะแคง มีหมอนใบหนึ่งหนุนศีรษะ โดยที่หมอนต้องไม่สูงเกินไป และมีหมอนข้างอีกใบไว้ระหว่งขา บางท่านอาจจะใช้ผ้าขนหนูม้วนหนุนข้อมือด้านที่ตะแคง
3. นอนคว่ำ ไม่ต้องใช้หมอน หรือหากจะใช้ต้องค่อนข้างจะแบน และอาจจะมีหมอนใบเล็กๆ หนุนตรงบริเวณท้อง
ชนิดของหมอน
1. หนุนที่เข่า ซึ่งสามารถหนุนได้สองรูปแบบ คือ นอนหงายแล้วเอาหมอนหนุนใต้เข่า หรือนอนตะแคงหมอนอยู่ระหว่างขา ท่านอน และการใช้หมอนท่านี้ จะช่วยลดอาการปวดหลัง เนื่องจากกล้ามเนื้อหลังอักเสบ หมอนที่ใช้คือ หมอนข้าง
2. หมอนหนุนทีศีรษะและคอ หมอนที่ดีควรจะรองตั้งแต่ต้นคอจรดถึงศีรษะ ความสูงของหมอนประมาณ 4-6 นิ้ว หมอนควรจะนุ่ม และสามารถรองรับบริเวณคอได้ดี หมอนชนิดนี้เหมาะสำหรับคนที่ปวดต้นคอ หากหมอนสูงเกินไป เมื่อนอนหงายหรือนอนตะแคง กล้ามเนื้อคอจะถูกยืดมากเกินไปทำให้ปวดกล้ามเนื้อคอ และที่สำคัญในท่านอนหงายหากหมอนสูงไปจะทำให้ทางเดินหายใจแคบเกิดอาการกรน
3. หมอนรูปตัว U เป็นหมอนทีใช้สำหรับหนุนคอขณะเดินทางโดยสาร เพื่อป้องกันมิให้คอเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง หรือหงายไปทางด้านหลัง เหมาะสำหรับนั่งหลับขณะโดยสารในรถหรือเครื่องบิน
4. หมอนรองหลัง ใช้สำหรับหนุนหลังส่วนเอว เหมาะสำหรับคนที่ต้องทำงานนั่งนาน หรือขับรถนาน เพื่อลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อหลัง
5. หมอนรูปโดนัท เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระดูกก้นกบหัก เวลานั่งจะไม่ปวดก้น

เมื่อท่านเลือกที่จะใช้หมอนที่ใดที่หนึ่งให้ลองดูสัก 1-2 สัปดาห์ จึงจะเห็นผล เมื่อใช้หมอนไประยะเวลาหนึ่งความนุ่มของหมอนจะเสียไป ต้องเปลี่ยนหมอนใหม่

Read More

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

10 อันดับคนอัจฉริยะที่สุดของโลก

1. Kim Ung-Yong: เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี IQ สูงที่สุดในโลก Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210 คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 - 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกัน 2. Gregory Smith: ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิ เด็ก Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจใน ระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ...มีใบขับขี่เป็นของตัวเอง ได้ซะทีนั่นเอง
3. Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า "เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก" เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน 4. Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง (47,000-48,000 บาท)Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม 2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า"At the age of 3" และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสดตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV และเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมา เนีย
5. Aelita Andre : หนูน้อยที่มีผลงานภาพออกแสดงในแกลลอรี่มีชื่อเสียง ด้วยวัยเพียง 2 ขวบศิลปินแนว Abstract อายุเพียง 2 ขวบผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลที่ชาวออสเตรเลียกล่าวถึงเป็นอันมาก เมื่อผลงานของเธอได้ออกแสดงใน Brunswick Street Gallery ใน Melbourne's Fitzroy Mark Jamieson ผู้อำนวยการของแกลลอรี่ดังกล่าวได้เห็นภาพที่ Nikka Kalashnikova นักถ่ายภาพคนหนึ่งที่มีงานแสดงในแกลลอรีนำมาให้ดูและเขาก็ชอบจนตกลงใจที่จะ จัดการแสดงภาพเหล่านั้น จนเมื่อได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานในนิตยสารต่าง ๆ แล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของผลงาน คือลูกสาวของ Kalashnikova นั่นเอง และมีอายุเพียง 22 เดือน แม้ Jamieson รู้สึกอับอายไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะแสดงผลงานของหนูน้อยต่อไป
6. Saul Aaron Kripke: Harvard( มหาวิทยาลัยอันดับ1 ของโลก) เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูล Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชา คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า "แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า" และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด Kripke ได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่
7. Michael Kevin Kearney: รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบและกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชว์หนุ่มวัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดใน โลก และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 17 ในปี 2008 เขาชนะ้รางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเล่นเกมโชว์ที่ชื่อว่า Who Wants to be a Millionaire? นอกจากนี้เขายังทำสถิติโลกไว้อีกหลายอย่าง Kearney เริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 4 เดือน เมื่ออายุได้ 6 เดือน เขาบอกกับกุมารแพทย์ของเขาว่า "ผมติดเชื้อที่หูซ้ายฮะ" อายุ 10 เดือนก็เริ่มเรียนเขียนอ่าน อายุ 4 ขวบได้เข้าร่วมการทดสอบทางคณิตศาสตร์ของสถาบัน Johns Hopkins และได้คะแนนเต็ม เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 6 ขวบ และเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junior College จนจบปริญญาเมื่ออายุ 10 ขวบ ในปี 2006 ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ Gold Rush จนชนะและได้รางวัล 1 ล้านเหรียญเป็นคนแรก
8. Fabiano Luigi Caruana: แกรนมาสเตอร์หมากรุกอายุน้อยที่สุด Fabiano หนุ่มน้อยสองสัญชาติ (อเมริกัน-อิตาลี) ปัจจุบันอายุ 16 ปี เขาได้เป็นแกรนมาสเตอร์ตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นเขามีอายุเพีย 14 ปี 11 เดือน 20 วัน ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ของอิตาลีและอเมริกา และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาสมาพันธ์หมากรุกโลก (World Chess Federation (FIDE)) ได้ประกาศว่า Fabiano นั้นมีอันดับโลกอยู่ที่ 2649 ทำให้ เขากลายเป็นนักหมากรุกที่มีอันดับสูงสุดสำหรับรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี 9. Willie Mosconi: เริ่มชีวิตนักบิลเลียดอาชีพเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ William Joseph Mosconi หรือเจ้าของฉายา "Mr. Pocket Billiards" (pocket billiard = พูล) หนูน้อยจาก Philadelphia, Pennsylvania มีบิดาเป็นเจ้าของโต๊ะพูลแต่กลับไม่ยอมให้เขาเล่นพูล แต่ Willie ก็ไม่ยอมแพ้โดยเลี่ยงไปฝึกฝนด้วยหัวมันฝรั่งกับด้ามไม้กวาดเก่า ๆ ในครัวของแม่ ไม่นานนักพ่อของเขาก็ได้เห็นความเป็นอัจริยะ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันท้าประลองเกิดขึ้น และ Willie ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุและประสบการณ์เหนือกว่าตนเองมากมายได้ ทั้ง ๆ ที่เขายัง ต้องยืนบนกล่องต่อขาเพื่อให้สูงถึงโต๊ะจนเล่นได้ก็ตาม ใน ปี 1919 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างหนูน้อย Willie วัย 6 ขวบและแชมป์โลกอย่าง Ralph Greenleaf แม้ Greenleaf จะเป็นผู้ชนะแต่ Willie ก็เล่นได้ดีมากและทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบิลเลียดอาชีพตั้งแต่บัดนั้น และในปี 1924 Willie ก็ได้เป็นแชมป์ straight pool (พูล 15 ลูก) เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี และมีงานเดินสายโชว์เทคนิคการเล่นอย่างสม่ำเสมอ ใน ช่วงปี 1941-1957 Willie ก็ได้ครองแชมป์ BCA (Billiard Congress of America) World Championship ถึง15 สมัย เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคใหม่ ๆ ในการตีบิลเลียด สร้างสถิติมากมาย และยังช่วยทำให้กีฬาบิลเลียดกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการตีลูกได้ติดต่อกัน ถึง 526 ลูกในการแข่งขัน Straight Pool
10. Elaina Smith: ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตอายุ 7 ขวบ สถานีวิทยุท้องถิ่นได้เสนองานให้คำ ปรึกษาปัญหาชีวิตกับหนูน้อย Elaina เมื่อเธอโทร. เข้ามาให้คำแนะนำกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โทร. มาปรึกษาสถานีเรื่องที่เธอถูกแฟนทิ้ง คำแนะนำง่าย ๆ ของ Elaina คือการบอกให้หญิงสาวผู้นั้นออกไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อนและก็ดื่มนมสักแก้วนึง โต ๆ และนั่นทำให้เธอได้เวลาจัดรายการแก้ปัญหาชีวิตรายสัปดาห์จากสถานีจนได้รับ ความนิยมจากผู้ฟังนับพัน เธอรับปรึกษาตั้งแต่ปัญหาเรื่องจะทิ้งแฟนอย่างไร จะทำยังไงเมื่อเลิกกับแฟน ไปจนกระทั่งปัญหากลิ่นตัวของพี่น้องในบ้าน ครั้งหนึ่งได้มีคนฟังโทรศัพท์มาถาม Elaina ว่าทำยังไงเธอถึงจะได้แฟนของเธอกลับมา หนูน้อยบอกไปว่า " ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะคร่ำครวญถึง ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะไปเศร้าโศกถึงผู้ชายแค่คนเดียว"

Read More

21 . 12 . 2012 วันวินาศโลก‏


21-12-2012 วันสิ้นโลก

โปรดใช้วิจารณญาณ - แต่ก็อย่าประมาท หมั่นทำบุญ ถือศีล ภาวนา เจริญมรณะสติ ไม่มีอะไรต้องเสีย
การทำนายนั้นอยู่คู่กับสังคมของเรามานาน โดยเฉพาะการทำนายธรรมชาติ เช่นการดูสีของท้องฟ้า ก้อนเมฆ สายลม ดวงดาว แม้กระทั่งการมองเห็นด้วยจิต ที่สามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและธรรมชาติได้ เหมือนที่เคยฮือฮากันไปเมื่อหลายปีก่อน เมื่อนาย กอร์ดอน (Gordon-Michael Scalion) ชาวอเมริกันที่เคยเสียชีวิตเมื่อปี 1979 แต่ กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็อ้างว่า ได้รับพรสวรรค์ที่หยั่งรู้อนาคต เขามักจะเดินทางไปอยู่บนพื้นที่สูงๆ บนภูเขา แล้วมองลงมาเห็นภาพในอนาคต โดยเฉพาะภาพของเมืองที่เปลี่ยนไป และโลกที่จะเกิดขึ้นมาใหม่คน ที่เชื่อถือนายกอร์ดอนนั้นมีไม่น้อย เพราะได้เคยฝากผลงานการทำนายที่แม่นยำเอาไว้ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในลอส แองเจอริส เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2535, เหตุการณ์แผ่นดินไหวในแคลิฟอร์เนียเมื่อ มกราคม 2537 รวมอีกหลายเหตุการณ์ที่เขาทายไว้แล้วก็ถูกเผงแต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุด ก็เห็นจะเป็นการทำนายเมื่อปี พ.ศ.2521 ซึ่งเขาเห็นตัวเองลอยอยู่เหนืออวกาศ แล้วมองลงมาบนโลก ด้วยภาพแผนที่โลกใหม่ เขาจึงใช้เวลาอยู่ 4 ปี ที่จะร่างแผนที่โลกอนาคตที่เห็นคนเดียวนั้นออกมาสู่สายตาชาวโลก พร้อมทั้งให้คำอธิบายไว้ว่า โลกที่แปรเปลี่ยนไปนี้จะเกิดจากน้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ทำให้ทวีปของโลกเคลื่อนไปหมด และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1998-2012 หรือ พ.ศ.2541-2555 นั่นเองความเชื่อนี้สอดคล้องกับคำทำนายของอีกหลายคน เช่น นาย ฮูเซลีนโย่ (Juseleeno ) ชาว บราซิล ที่มองเห็นอนาคตล่วงหน้าด้วยตานิมิต สิ่งที่เขาเห็นแบบเดียวกับกอร์ดอนเห็นก็คือ โลกจะพังพินาศด้วยภัยธรรมชาตินานัปการ เป็นต้นว่า ในปี 2551 นี้ ญี่ปุ่นจะเกิดแผ่นดินไหว รวมถึงจีน มีการเสียชีวิตนับล้านคน และจะเกิดการก่อการร้ายครั้งใหญ่ในอเมริกา ปี 2553 ทวีปแอฟริกาจะเกิดภาวะขาดแคลนน้ำอย่างหนัก และปี 2554 จะเกิดโรคไวรัสสายพันธุ์ใหม่ฆ่ามนุษย์ วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จนถึงปี 2557 ดาวเคราะห์ขนาดเล็กจะชนกับโลก จนถึงปี 2558 มนุษย์จะตายเพราะทนความร้อนไม่ได้สำหรับ “อูแรนเดอร์ โอลิเวียร่า” ผู้ซึ่งอ้างว่าเคยได้ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวผู้โด่งดังนั้น ก็อ้างว่าเขามีโทรจิตที่เห็นภาพอนาคตจากการบอกเล่าของมนุษย์ต่างดาว ว่าในปี ค.ศ.2012 นั้น จะมีแสงสว่างมากที่สุดในกาแลกซี่และสะท้อนไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัว สิ่งมีชีวิตและโลกจะปั่นป่วนอย่างยิ่งด้วยความเชื่อเหล่านี้ บวกกับความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ จึงมีผู้คาดการณ์วันอันน่าระทึกเอาไว้ที่วันที่ 21 เดือน ธันวาคม ค.ศ.2012 นั้นเป็นวันเริ่มต้นกระบวนการดับสูญของโลก หรือ Doomsday -21/12/12

น้ำท่วมประเทศไทย

โดยคาดการณ์ว่าเป็นวันที่พระอาทิตย์จะเดินทางมาอยู่ยังศูนย์กลางของกาแลกซี่ ทำให้โลกดวงเล็กๆ ของเราคลอนโยกเยกและปลิวไปมา กระทั่งอาจจะต้องดับสูญลงไป โดยขณะนี้มีผู้จำลองเหตุการณ์ของ Doomsday แบบมัลติมีเดียไว้ในเวบไซต์ของ YouTube มากกว่า 20 ชุด เช่นวิดีโอด้านล่างนี้ ถูกบรรจุโดยผู้ใช้ชื่อว่า AfroDude เผยแพร่เมื่อเดือนเมษายนของปีนี้ มีผู้อธิบายปรากฏการณ์นี้ในเชิวิทยาศาสตร์ว่า เกิดจากการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้คอมพิวเตอร์ Hyderabad คำนวณการแลกเปลี่ยนพลังงานที่ขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้สลับตำแหน่งกัน ว่ามีคุณสมบัติแม่เหล็กพลิกกลับขั้วของ

น้ำท่วมกรุงเทพ
ดวงอาทิตย์ทุกๆ 11 ปี และจะก่อพลังงานสูงสุดได้ในปี 2012 อย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่นเดียวกับที่เคยเกิดเมื่อหลายล้านปีก่อนอย่างไรก็ดี มีผู้ออกความเห็นมากมายที่ยังเชื่อว่า ปี 2012 อาจ ไม่ใช่วันสิ้นโลก แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นที่จะเห็นโฉมหน้าของโลกใหม่ เรากลับมาที่แผนที่โลกของนายกอร์ดอนอีกครั้ง ซึ่งแผนที่ฉบับนี้ (Future Map Of The World) ได้ระบุเหตุการณ์ไว้มากมาย สรุปที่สำคัญๆ ได้เป็นต้นว่าออสเตรเลียจะเสียแผ่นดินไป 25% จากน้ำท่วม, นิวซีแลนด์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะแผ่นดินเก่าและใหม่จะ ชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกัน นิวซีแลนด์ห่างไกลจากทะเลมาก แอฟริกาจะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน แม่น้ำไนส์จะกว้างกว่าเดิมมาก ทะเลแดงจะกว้างออกทำให้ "โคโร" จมหายไปในทะเล เช่นเดียวกับเกาะมาดากัสการ์จะ มีแผ่นดินเกิดใหม่ในทะเลอาหรับ ทะเลสาปวิคอเรียจะรวมเข้ากับทะเลสาบยาซาไหลสู่มหาสมุทรอินเดีย ส่วนอเมริกาใต้จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ ลุ่มน้ำอะเมซอนจะกลายเป็นทะเลปิดแบบเดียวกับทะเลสาปสงขลา ในแมกซิโกจะเกิดภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหวต่อเนื่องยาวนาน 25 ศตวรรษ ส่วนยุโรปตอนเหนือจะจมลงทะเล เหลือแค่เกาะเล็กๆ รัสเซียจะแยกจากยุโรป เกิดทะเลใหญ่ยาวมาก ฝรั่งเศสจะจมน้ำเหลือแต่กรุงปารีส ทางน้ำใหม่ จะแยกสวิสเซอร์แลนด์ออกจากฝรั่งเศส และอิตาลี เวนิส เนเปิ้ล รวมถึงโรมจะจมน้ำหายไปในทะเล ฯลฯ มา ดูฝั่งเอเชียของเรากันบ้าง แผนที่ใหม่นี้ได้บอกว่าแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะทำให้เกิดน้ำท่วมตั้งแต่ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ไปจนถึงทะเลแบริ่งซึ่งอยู่ระหว่างอะลาสก้ากับรัสเซีย เกาะญี่ปุ่นจึงจะจมหายไปหมด เหลือไว้แค่ 2-3 เกาะ เท่านั้น ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ และไต้หวันกับเกาหลี ก็จะหายจมไปในทะเล ดังนั้น แนวฝั่งของจีนก็จะร่นเข้าไปในแผ่นดินใหญ่หลายร้อยไมล์ทีเดียว อินโดนีเซียจะถูกทำลาย เช่นเดียวกับฟิลิปินส์ เอเชียจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สูงมากเพราะตั้งอยู่บน 3 ทวีป ส่วนไทยนั้นอยู่บนแผ่นทวีปของ ยูเรเซี่ยน ซึ่งจะเกิดการยกตัวให้สูงขึ้น แผ่นแปซิฟิกจะเคลื่อนไป 9 องศา ดังนั้น บางส่วนจะมุดตัวลง บางส่วนจะยกตัวขึ้นผล สรุปการทำนายก็คือ ประเทศไทยจะยังเหลืออยู่บางส่วนตามภาพที่ขยายออกมา ซึ่งคงได้ยินกันมาอยู่บ้างว่า ประเทศไทยจะเหลือมากที่สุดคือภาคเหนือ ส่วนอีสานบางส่วน และภาคใต้จะจมลงไปในทะเลพร้อมกับมาเลเซีย สิงคโปรและอินโดนีเซีย ส่วนชายฝั่งทะเลจะมาอยู่ที่ชัยภูมิ เพรชบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัยและตาก และแม่น้ำโขงจะกลายจากแม่น้ำเป็นทะเลสำหรับวิดีโอข้างล่างนี้ เป็นมัลติมีเดียการทำนายแผนที่ใหม่ของจีน ซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซต์ Youtube โดยผู้ใช้ชื่อ halobed สำหรับในบ้านเรา คุณหมอประสาน ต่างใจ เคยพูดเอาไว้ในงานเสวนา “พุทธศาสตร์กับอนาคตโลก” ถึงการละลายของน้ำแข็งบนยอดเขา จำนวน 19 ร้อยล้านตันว่าจะใช้เวลาอีกราว 5-7 ปี ซึ่งละลายหมดในปี ค.ศ.2012 เช่นเดียวกันกับปฏิทิน 22 ของชาวเผ่ามายา ได้ทำปฏิทินเอาไว้ที่ 5,000 ปี โดยแต่ละเดือนจะมี 20 วัน โดยเชื่อว่า โลกในวันสุดท้ายคือ 22 ธันวาคม ค.ศ.2012 พระเจ้าของพวกเขาจะปรากฏตัวอีกครั้งนั่นเองอ่านจบแล้วอย่าลืมว่า นี่เป็นคำทำนายเท่านั้น ยังไม่มีใครรับรองได้ว่าจะเกิดได้จริงดั่งภาพนิมิตจากนักทำนายเหล่านี้ ในวันที่ 21/12/2012 หรือไม่ มีแต่อนาคตเท่านั้นที่จะบอกได้ครับ

Read More

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อาหารที่คนทำงานต้องไม่พลาด


หนุ่มสาวที่ต้องทำงานอยู่ในออฟฟิศทุกๆ วัน ควรได้รับอาหารเสริมอย่างเต็มที่ มาดูกันว่า อาหารอะไรบ้างที่เหมาะกับคนทำงานอย่างเราๆ ค่ะ
1. ข้าวกล้อง ข้าวกล้องมีวิตามินบีและอีสูง จึงช่วยเพิ่มพลังสมองในการทำงานช่วยป้องกันโรคเหน็บชาที่คนที่ต้องนั่งโต๊ะทำงานนานๆ มักจะเป็นกัน แถมยังป้องกันโรคสมองเสื่อมในอนาคตได้ด้วย

2. วิตามินบี มีอีกชื่อหนึ่งว่า "สารให้ความกระปี้กระเปร่า" มีอยู่ในข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท จมูกข้าว ถั่ว เมล็ดทานตะวัน นม กล้วย ส้ม เป็นต้น สาวๆ ที่ทำงานนานจนล้าห้ามพลาด

3. วิตามินซี ที่อยู่ในผักและผลไม้ เช่น ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่ น้ำส้มคั้น มะละกอ บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี ถั่วงอก ฯลฯ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากในการสร้างฮอร์โมนระงับความเครียด จะได้ทำงานอย่างสดใสไปทั้งวันเลย

4. น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ไขข้ออักเสบ ช่วยลดอาการปวดรอบเดือนและระงับอาการซึมเศร้า เบื่อหน่ายจากการทำงานได้ด้วย

5. ผักใบเขียวอย่างตำลึง คะน้า เป็นอาหารกลุ่มโครินที่มีวิตามินบี ซึ่งช่วยเพิ่มความจำและสมาธิ

6. ดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน เพื่อป้องกันอาการอ่อนเพลีย และการเป็นตะคริวจากการนั่งหรือยืนนานๆ แถมยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสด้วย สาวๆ ที่ทำงานในห้องแอร์ตลอดวันยิ่งควรดื่มบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ผิวแห้ง

7.น้ำใบบัวบก ทำงานมาทั้งวันช่วงบ่าย สาวๆ ก็คงจะเพลีย ขอแนะนำให้ดื่มน้ำใบบัวบกเพราะเป็นน้ำเพิ่มพลังชั้นยอด เป็นยาบำรุงแก้อ่อนเพลียช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เสริมสร้างความจำและช่วยให้สมองทำงานได้ดีด้วย

8. ทานของหวานหลังอาหารกลางวัน จะทำคงความสดชื่นได้ยาวนานขึ้น เพราะรสเปรี้ยวและรสหวานนั้นจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นในร่างกาย ยิ่งตอนบ่ายๆ อาจจะง่วง ผลไม่รสเปรี้ยวคือคำตอบของคุณ ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงหรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ จะกระตุ้นให้สาวๆ กระปรี้กระเปร่าขึ้นได้

9. ถั่ว ยิ่งคนที่ต้องใช้สายตาเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรืองานที่ต้องใช้สายตานานๆ ควรมีถั่วติดโต๊ะไว้ด้วย เพราะถั่วมีวิตามินบี 2 บำรุงสายตาได้ดี

10. วิตามินซีและธาตุเหล็ก เพราะเวลาที่มีรอบเดือนร่างกายจะขาดธาตุเหล็ก ทำให้เหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิช่วงนั้นของเดือนจึงเป็นเวลาที่สาวๆ อย่างเราต้องทางวิตามินซี และธาตุเหล็กมากๆ วิตามินซีจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น

11. ชาเขียว นอกจากจะทำให้ลมหายใจสดชื่นไม่มีกลิ่นปากแล้ว ถึงชาเขียวที่ทานแล้วยังช่วยลดมลพิษในห้องทำงานได้ด้วย แค่วางทิ้งไว้เฉยๆ มันก็จะดูดฝุ่นละอองให้เราเอง ทำให้ลดการเป็นภูมิแพ้ไปโดยอัติโนมัติ

12.ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดในมือเช้า เพราะในตอนเช้าร่างกายของเรายังปรับตัวไม่ทันกับรสชาติเผ็ดร้อน เช้าๆ ควรทานเป็นอาหารรสกลางๆ ไปก่อนจะดีกว่า

13. ดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้ว ก่อนจะดื่มกาแฟควรดื่มน้ำผลไม้ก่อน 1 แก้ว เพราะการดื่มกาแฟโดยที่ไม่มีอะไรรองท้องจะช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้ไม่นาน หลังจากนั้นจะกลับมาง่วงเหมือนเดิม และไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 3 แก้วต่อวัน เพื่อไม่ให้ได้รับคาแฟอีนมากเกินไป 14. งดชากาแฟในเวลาเย็น เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับ ส่งผลให้สมองพักผ่อนไม่เพียงพอ พอตื่นขึ้นมาสมองก็จะล้า คิดอะไรไม่ออกทำงานได้ไม่เต็มที่

15. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มและมันจัดในมื้อเที่ยง เพราะอาหารที่มีไขมันสูงหรือเค็มจะทำให้เกิดการสะสม มีผลให้ร่างกายเคลื่อนไหวช้า ขาดความคล่องตัวที่คนทำงานต้องมี

Read More

Let's take a break

Read More

พี่นุ่น วรนุช กับชุดแต่งงานสุดหรู

































Read More

เกาะสุรินทร์ - สิมิลัน - ภูเก็ต


หลังจากเกิดเหตุการณ์ ธรณีพิบัติภัยครั้งใหญ่ คลื่นยักษ์ สึนามิ ถล่มชายทะเล 6 จังหวัด ภาคใต้ ส่งผลกระทบต่อสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งได้รับความเสียหาย จากวันนี้คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าธรรมชาติริมฝั่ง และสรรพสิ่งใต้ท้องมหาสมุทรอันดามัน จะกลับมาเป็นเฉกเช่นเดิม
ไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์ร้ายแรงนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เราคนไทยทุกคนทำได้ในตอนนี้ก็คือ การร่วมส่งแรงใจ และส่งเครื่องอุปโภคบริโภคไปให้แก่ผู้ประสบภัย ที่กำลังรอคอยความช่วยเหลืออยู่ หลายครอบครัวต้องพบกับความพลัดพราก บ้างก็พบกับความสูญสิ้น เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดและอาจจะเป็นอดีตที่ฝังติดอยู่ในใจไปอีกนาน
สองสามวันมานี้ผมเห็นแต่ภาพพินาศย่อยยับ ของบริเวณจุดท่องเที่ยวต่างๆ ริมฝั่งอันดามันมาก็มาก เมื่อมาเปรียบเทียบกับภาพอดีตที่เคยสดใสดังที่ได้นำมาให้ชมกันวันนี้ ทำให้รู้สึกหดหู่ใจ แต่ก็ยังหวังว่า ในเร็ววันนี้ อันดามัน จะกลับคืนมางดงามเหมือนดังเดิม และขอให้พี่น้องชาวไทย และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จงลืมฝันร้ายเรื่องนี้ในเร็ววัน...

Read More