วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

ฮวงจุ้ยกับตู้ปลา

ตามความเชื่อของชาวจีน หมายถึง ศาสตร์ของการจัดที่อยู่อาศัย ที่อาศัยความสัมพันธ์ของธาตุทั้งสี่ นั่นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เชื่อกันว่าหากจัดบ้านให้ถูกต้องตามโฉลกแล้ว จะช่วยเสริมส่งให้เจ้าของบ้านเจริญรุ่งเรือง มีเงินทองไหลมาเทมา ปราศจากพลังร้ายทั้งปวง นอกจากการจัดวางสิ่งของทั่วไปภายในบ้านแล้ว สิ่งหนึ่งที่บ้าน และบริษัทต่าง ๆ นิยมใช้เพื่อตกแต่ง และผ่อนคลายสายตา ก็คือ ตู้ปลา หรือบ่อเลี้ยงปลานั่นเอง การจัดตู้ปลาให้ถูกหลักฮวงจุ้ย เชื่อว่าจะช่วยดึงดูดเงินเข้าบ้าน ให้ผู้อยู่อาศัยเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยยิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งมีหลักง่ายๆ ดังนี้
ส่วนที่เหลือ1. รูปร่างของตู้ปลา• ลักษณะของตู้ปลาที่ดี ควรเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมยาว เป็นธาตุไม้ เชื่อว่าจะส่งเสริมให้เจ้าของบ้านเจริญก้าวหน้า เพราะน้ำจะช่วยให้ไม้เติบโต หรือว่าจะเลือกเป็นทรงกลมก็เป็นมงคลเช่นกัน เพราะทรงกลมจัดว่าเป็นธาตุน้ำ จะช่วยเสริมส่งพลังน้ำด้วยกันให้ดียิ่งขึ้น• ถ้าเป็นบ่อปลา หรือสระน้ำ ต้องมีลักษณะของโค้งมน ไม่มีเหลี่ยม หรือมุมแหลม ซึ่งมีลักษณะที่เป็นภัยกับเจ้าของบ้าน
2. การจัดวาง• ตำแหน่งของตู้ปลา บ่อปลา หรือสระน้ำ ก็มีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน ควรจัดวางให้ตู้ปลา อยู่ในทิศที่ถูกกับธาตุน้ำ เช่น ทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตามหลัก ฮวงจุ้ย ธาตุที่ประจำอยู่ตามทิศต่างๆ มีดังนี้- ธาตุน้ำ ประจำอยู่ทิศเหนือ- ธาตุดิน ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้- ธาตุไม้ ประจำอยู่ทิศตะวันออก และทิศตะวันออกเฉียงใต้- ธาตุไฟ ประจำอยู่ทิศใต้- ธาตุทอง ประจำอยู่ทิศตะวันตก และทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นอกจากจะตั้งตู้ปลาให้ถูกตามทิศแล้ว ถ้าเป็นทิศที่มีประตูใหญ่อยู่ด้วย จะถือว่าเป็นมงคลมาก เพราะประตูใหญ่นั้นเป็นจุดที่กระตุ้นการไหลเวียนของโชคลาภ ให้เงินทองไหลมาไม่ขาดสาย ถ้าที่อยู่อาศัย หรือที่ทำงานตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่งพอดี สามารถแก้ได้ด้วยการนำน้ำพุมาตั้งไว้บริเวณนั้น เพื่อลดความชั่วร้ายต่าง ๆ ที่จะเข้ามา ให้กระจายเป็นพลังที่ดี
3. ลักษณะที่ดีของตู้ปลา• ตู้ปลา หรือบ่อเลี้ยงปลา ควรมีการไหลเวียนของน้ำ ให้น้ำเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ย หมายถึง ลักษณะของเงินที่หมุนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ• น้ำที่ใช้เลี้ยงปลา ควรจะใส สะอาด มองเห็นตัวปลา มองแล้วรู้สึกผ่อนคลาย และสบายใจ
4. เลี้ยงปลาอะไรดี• ปลาที่นิยมเลี้ยงกัน และถือว่าจะนำพาความร่ำรวย โชคดี และความเจริญต่างๆ มาให้ ได้แก่ ปลาเงินปลาทอง ปลาคาร์ฟ และปลาอะโรวาน่า หรือที่นิยมเรียกกันว่า ปลามังกรนั่นเอง• เมื่อเลือก
ชนิดของปลาที่จะเลี้ยงแล้ว ก็ควรเลือกปลาตัวที่มีลักษณะดีด้วย นั่นคือ ควรดูลักษณะการว่ายของปลา ไม่เลือกปลาที่ว่ายหัวทิ่ม นอกจากนี้ ควรพิจารณาสีสัน และรูปทรงของปลา ให้ดูแล้วสง่างามด้วย• จำนวนของปลาที่นิยมเลี้ยง คือ 1, 4 หรือ 9 ตัว ซึ่งถือว่าเป็นเลขมงคล จะเลือกเลี้ยงจำนวนเท่าใดก็ควรคำนึงถึงขนาดของตู้ปลา และธรรมชาติของปลาชนิดนั้นๆ ว่าชอบอยู่เดี่ยวๆ หรืออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม

Read More

รองเท้า... เลือกยังไงให้เข้ากับสีผิว

รองเท้า ก็สำคัญไม่แพ้เครื่องประดับชิ้นอื่นๆ นะคะ วันนี้ women.mthai จะมาแนะนำรองเท้าให้เหมาะกับรูปเท้า และสีผิวของสาวๆ กันค่ะ อันดับแรก มองรูปเท้าของตัวเองก่อน ใครที่รูปเท้าเรียวอันนี้ไม่มีปัญหาเพราะใส่รองเท้าอะไรก็สวยไปหมด...


ส่วนที่เหลือ
1.ถ้ารูปเท้าแบนราบ ไม่ค่อยมีเนื้อเท้า เลือกรองเท้าที่มีสายสานหรือมีลวดลายด้านหน้า เพื่ออำพรางส่วนที่เป็นจุดอ่อน ไม่ควรเลือกรองเท้าที่เปิดเผยให้เห็นเนื้อหนังมังสามากๆ เพราะจะยิ่งเน้นจุดด้อยของสาวๆ นะคะ
2. สำหรับ สาวๆ ที่มีรูปเท้าอวบ อูม แบบสาวเจ้าเนื้อทั้งหลาย ควรเลี่ยงรองเท้าที่เผยให้เห็นเนื้อเท้าของคุณมากๆ เพราะจะยิ่งอวดความใหญ่โตของเท้าเข้าไปอีก ควรเลือกรองเท้าสีเข้ม เพราะจะช่วยพรางให้เท้าดูเล็กลง และส้นไม่สูงจนเกินไป เพราะสาวเจ้าเนื้อจะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว การใส่รองเท้าสูงนานๆ อาจทำให้ปวดหัวเข่าได้ แต่ถ้ากลัวว่าจะเชย ก็เลือกรองเท้าที่มีลวดลายเล็กน้อย หรือสายรัดข้อเส้นบางๆ ก็เพิ่มความเก๋ได้ไม่น้อยนะ
3. สาวเท้าสีผิวคล้ำ ควรเลือกรองเท้าสีเข้ม อย่าง ดำ น้ำตาล จะได้ไม่ขับสีผิวใหดูเด่นจนเกินไป หลีกเลี่ยงรองเท้าสีสดๆ อย่างแดงแป๊ด ส้มแป๋น เขียวปี๋ เหลืองอ๋อย ก็พอค่ะ
4. สาวเท้าผิวสองสี ต้องเลือกรองเท้าโทนสีผสมที่ดูไม่ร้อนแรง หรือเย็นตาเกินไป เช่น น้ำตาลอมแดง ชมพูอมส้ม เพราะสีเหล่านี้จะขับสีผิวเท้าของเราให้ดูผ่องยิ่งขึ้นค่ะ
5. สาวๆ ที่มีสีผิวเท้าขาวซีด อาจจะได้เปรียบในการเลือกรองเท้าสักนิด แต่ทางที่ดี ควรเลือกรองเท้าสีเข้มๆ หรือหม่นเล็กน้อย เช่น แดงเข้ม เหลืองอมน้ำตาล น้ำตาลไหม้ เพื่อขับสีผิวให้ดูเข้มขึ้น สีจำพวกพาสเทลไม่แนะนำให้ใส่จ้ะ เพราะจะยิ่งทำให้เท้าของสาวๆ ยิ่งซีดเข้าไปใหญ่เลยล่ะ
6. สาวสีผิวเท้าขาวเหลือง ควรเลือกรองเท้าสีสดโทนร้อน จะช่วยขับผิวให้โดดเด่นดูสุขภาพดี หลีกเลี่ยงสีขุ่นๆ อย่าง น้ำตาลหรือเทาเข้ม เพราะจะทำให้ผิวเราดูหมองไม่สดใส

Read More

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

"ตุ๊กตาของเล่นแนวใหม่ของผู้ชาย"





































Read More

ฮวงจุ้ย

สิ่งสำคํญที่ควรรู้ในการจัดสภาพแวดล้อมในอาคารบ้านเรือน
สภาพภายในอาคารบ้านเรือนก็เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในหลักของฮวงจุ้ย ซึ่งจะทำให้ภายในบ้านมีความสมดุลของหยินหยาง ก่อให้เกิดพลังที่ดีต่อครอบครัว สภาพภายในอาคารบ้านเรือนก็เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในหลักของฮวงจุ้ย ซึ่งจะทำให้ภายในบ้านมีความสมดุลของหยินหยาง ก่อให้เกิดพลังที่ดีต่อครอบครัว กิจการเจริญรุ่งเรือง สุขภาพแข็งแรง พี่น้องรักใคร่ปรองดองโดยใช้หลักสถาปัตยกรรมผสมผสานวิชาฮวงจุ้ย ในด้านการตบแต่ง เช่นเรืองของสี รูปทรง ก็จะทำให้สภาพความเป็นอยู่ในบ้านดูดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น สภาพจิตใจก็ดีขึ้น ปัจจัยหลักๆที่ควรนำมาพิจารณา
1) ห้องนอน
2) ทิศหัวนอน
3) ทิศทางประตู
4) ห้องครัว
ห้องนอน
ในหลักของฮวงจุ้ยมีวิธีการพิจารณาดังนี้
- ห้องนอนควรมีอากาศถ่ายเทที่สะดวก ไม่สว่างมากไป เพราะเราต้องการสภาพเป็นหยิน เพื่อใช้ในการพักผ่อน การมีหยางเยอะจะทำให้นอนไม่หลับ จิตใจก็ไม่ปกติ
-ห้องนอน ไม่ควรมีอะไรรกรุงรัง เพราะจะทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย- เตียงนอน ไม่ควรอยู่ตรงกับประตู เพราะพลังชี่ที่เข้ามาจะทำร้ายเราทำให้เกิดโรคเช่น ตัวชา ขาชา ซึ่งขึ้นอยู่กับเราโดนพลังชี่ในส่วนไหนกดทับเราบ่อย
-เตียงนอน ไม่ควรอยู่ใต้คาน เพราะจะโดนพลังชี่กดทับตลอดเวลาที่เรานอน
-ปลายเตียงนอนไม่ควรมีกระจก เพราะจะทำให้คนนอนตกใจตื่นง่าย
-หัวนอนไม่ควรพิงกับพนังห้องน้ำ เพราะห้องน้ำเป็นสิ่งสกปรก จะทำให้สุขภาพไม่ดี

ทิศหัวนอน
- ควรหันหัวนอนไปทิศที่ส่งเสริมธาตุประจำตัวเรา เช่นเราเป็นคนธาตุไม้ ตรงการธาตุน้ำเป็นตัวส่งเสริม ก็ให้หันหัวนอนไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นทิศธาตุน้ำ ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรง
ห้องครัว
ห้องครัวก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ในวิชาฮวงจุ้ยให้ความสำคัญ เพราะในชีวิตประจำวัน วันๆหนึ่งเราต้องกินอาหาร 3 มื้อ ซึ่งก็หมายถึง เราจะต้องใช้ห้องครัวในการประกอบอาหาร อาหารก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรามีร่างกายที่ดี ห้องครัวที่สะอาด ไม่สกปรก เชื้อโรคต่างๆก็ไม่มี แม่บ้านก็อารมแจ่มใสอยากเข้าครัวทำอาหาร การทะเลาะเบาะแว้งก็จะน้อย ดังนั้นในวิชาฮวงจุ้ยมีหลักในการพิจารณาการจัดวางห้องครัว เพื่อให้เกิดพลังงานที่ดี ดังนี้
- เตาไฟ ควรหันไปทางทิศที่ส่งเสริมกับปากเตา เช่น หันไปทางทิศตะวันออก ธาตุไม้ ไม้ส่งเสริมไฟ
- ห้องครัวควรตั้งอยู่ในทิศทางของบ้านในตำแน่งส่งเสริมหรือคู่ธาตุเดียวกัน
- เตาไฟไม่ควรอยู่ตรงข้ามกับก๊อกน้ำ โดยใจหลักการส่งเสริมและพิฆาตมาพิจารณา
ทิศทางประตู
ประตูควรอยู่ในตำแน่งที่ใช้งานง่าย และควรได้รับพลังชี่ที่ดี เพราะประตูก็เหมือนปากของพลังงาน แต่มีข้อห้ามตามหลักฮวงจุ้ยดังนี้
-ประตูไม่ควรอยู่ตรงกัน เพราะจะทำให้พลังงานปะทะกัน หรือ ไหลออกโดยง่าย ซึ่งจะทำให้การกักเก็บชี่ไม่อยู่ ในกรณีเช่นนี้ให้หาตู้โชว์หรือม่านมาบังไว้
- ประตูควรอยู่ในตำแน่งดาวที่ดี (ดาว9 ยุค) ซึ่งอยู่ในหมวดฮวงจุ้ย ดาว9 ยุค
ห้องนอน
นับว่ามีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับชีวิตประจำวัน เพราะในวันหนึ่งๆเราใช้ชีวิตกับการหลับนอนและพักผ่อนเป็นเวลา 8-10ชม หรือ 2ใน3 ของวันไปแล้ว การหลับนอนและพักผ่อนเป็นการสะสมพลังงานเพื่อให้ร่างกายมีกำลังในวันต่อๆไป ดังนั้นห้องนอนจึงเป้นสิ่งสำคัญในการสร้างฮวงจุ้ยที่ดี การมีห้องนอนที่มีฮวงจุ้ยที่ไม่ดีจะทำให้ร่างกายและสุขภาพไม่แข้งแรง ไม่สามารถสู้กับงานในประจำวันได้ก็จะทำให้ชีวิตตกต่ำ เจ็บป่วย การงานไม่ดี เป็นลำดับ ดังนั้นห้องนอนที่ดีจึงควรมีลักษณะทีโปร่ง สะอาด จะทำให้การพักผ่อนและนอนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งกาจัดวางฮวงจุ้ยห้องนอนมีหลักการคร่าวๆดังนี้
1.ห้องนอนควรวางอยู่ในตำแหน่งที่เป็นมงคล
2.หัวนอนไม่ควรติดอยู่กับห้องน้ำ
3.หิศหัวนอนควรเสริมดวงชะตาของผู้นอน
4.ห้องนอนไม่ควรมีของที่เป็นคลื่นไฟฟ้า เช่น ทีวี วิทยุต่างๆ มากจนเกินไป
5.ห้องนอนควรเป็นอิมในเวลานอน(มืด) และเป็นเอี้ยงในเวลากลางวัน(เปิดหน้าต่างให้แสงเข้า)เตียงนอนห้ามโดนสั่วต่างๆเช่นมุมเสา หรือ ของแหลมพุ่งใส่ เพียงแค่นี้คุณก็จะได้ฮวงจุ้ยห้องนอนที่ดีอย่างคร่าวๆแล้ว ซึ่งจริงๆต้องพิจารณาอีกหลายอย่างประกอบซึ่งต้องใช้หลักวิชาการซึ่งจะนำเสนอในตอนต่อไป

Read More

ข้าวกล้องงอก คืออะไร


ข้าวกล้องงอก (germinated brown rice หรือ GABA-rice) ถือเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจาก ข้าวกล้องงอก (germinated brown rice) เป็นการนำข้าวกล้องมาผ่านกระบวนการงอก ซึ่งโดยปกติแล้ว ในตัวข้าวกล้องเองประกอบด้วยสารอาหารจำนวนมาก เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก (Phytic acid) วิตามินซี วิตามินอี และ GABA (gamma aminobutyric acid) ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน และช่วยในการควบคุมน้ำหนักตัว เป็นต้น เมื่อนำข้าวกล้องมาแช่น้ำเพื่อทำให้งอก จะทำให้ข้าวกล้องมีสารอาหาร โดยเฉพาะ GABA เพิ่มขึ้น ซึ่งนอกจากจะได้ประโยชน์จากการที่มีปริมาณสารอาหารที่สูงขึ้นแล้ว ยังทำให้ข้าวกล้องงอกที่หุงสุกมีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม รับประทานได้ง่ายกว่าข้าวกล้องธรรมดาอีกด้วย จึงง่ายแก่การหุงรับประทานได้โดยไม่ต้องผสมกับข้าวขาวตามความนิยมของผู้บริโภคจากการศึกษาทางกายภาพและทางชีวเคมีพบว่า เมล็ดข้าว ประกอบด้วย เปลือกหุ้มเมล็ด หรือแกลบ (Hull หรือ Husk) ซึ่งจะหุ้มข้าวกล้อง ในเมล็ดข้าวกล้องประกอบด้วย จมูกข้าวหรือคัพภะ (Germ หรือ Embryo) รำข้าว (เยื่อหุ้มเมล็ด) และเมล็ดข้าวขาวหรือเมล็ดข้าวสาร (Endosperm) สารอาหารในเมล็ดข้าวประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลักโดยมีโปรตีน วิตามินบี วิตามินอี และแร่ธาตุที่แยกไปอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของเมล็ดข้าว นอกจากนี้ยังพบสารอาหารประเภทไขมันซึ่งพบได้ในรำข้าวเป็นส่วนใหญ่ข้าวเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีการเจริญเติบโตจะมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี การเปลี่ยนแปลง จะเริ่มขึ้น เมื่อน้ำได้แทรกเข้าไปในเมล็ดข้าว โดยจะกระตุ้นให้เอนไซม์ภายในเมล็ดข้าวเกิดการทำงาน เมื่อเมล็ดข้าวเริ่มงอก (malting) สารอาหารที่ถูกเก็บไว้ในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยสลายไปตามกระบวนการทางชีวเคมีจนเกิดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กลง (oligosaccharide) และน้ำตาลรีดิวซ์ (reducing sugar) นอกจากนี้ โปรตีนภายในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยให้เกิดเป็นกรด อะมิโนและเปปไทด์ รวมทั้งยังพบการการสะสมสารเคมีสำคัญต่าง ๆ เช่น แกมมาออริซานอล (gamma-orazynol) โทโคฟีรอล (tocopherol) โทโค ไตรอีนอล (tocotrienol) และโดยเฉพาะ สารแกมมาอะมิโนบิวทิริกแอซิด (gamma-aminobutyric acid) หรือที่รู้จักกันว่า สารกาบา(GABA)
คุณประโยชน์ของสารในข้าวกล้องงอก
1. มีสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มฟิโนลิค (phenolic compounds) ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า ชะลอความแก่
2. สารออริซานอล (orizanal) ช่วยควบคุมระดับ ลดอาการผิดปกติของวัยทอง
3. สารกาบา (GABA) ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ (ความจำเสื่อม) ช่วยผ่อนคลาย ทำให้จิตใจสงบ หลับสบาย ลดความเครียดวิตกกังวล ลดความดันโลหิต
4. เยื่อใยอาหาร (food fiber) ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันมะเร็งลำไส้ และลดอาการท้องผูก
5. วิตามินอี (vitamin E) ลดการเหี่ยวย่นของผิว
จากการวิจัยเบื้องต้นของ อ.พัชรี ตั้งตระกูล จากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการศึกษาหาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมและสภาพการผลิตข้าวกล้องงอกที่มีประสิทธิภาพ พบว่า ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เมื่อนำมาเพาะเป็นข้าวกล้องงอกจะมีสาร GABA มากที่สุด (15.2 - 19.5 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) ซึ่งสูงกว่าข้าวกล้องปกติ ส่วนสภาวะที่จะทำให้ข้าวกล้องงอกได้ดีคือ ต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำราว 48 - 72 ชั่วโมงในหม้อแช่ โดยมีการควบคุมอุณหภูมิ การไหลเวียนน้ำ ความดัน และความเป็นกรดด่างของน้ำ เพื่อให้ความชื้นจากน้ำไปกระตุ้นให้เมล็ดข้าวงอกและเปลี่ยนกรดกลูตามิกไปเป็นสารกาบาอันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ต่อมาเมื่อได้ข้าวกล้องงอกในขั้นตอนนี้แล้ว ก็ต้องทำให้ข้าวกล้องงอกหยุดการงอกต่อไป โดยอบแห้งให้มีความชื้นต่ำกว่า 14% ในหม้ออบแห้ง จากนั้นจึงบรรจุลงในถุงสุญญากาศพร้อมขายเป็น ลำดับสุดท้าย สำหรับข้าวกล้อง ที่สามารถนำมาแช่น้ำให้เกิดการงอกได้นั้นจะต้องเป็นข้าวกล้องที่ผ่านการกะเทาะเปลือกมาไม่นานเกิน 2 สัปดาห์ปัจจุบันผู้ประกอบการภาคเอกชนกำลังให้ความสนใจกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มจากข้าว ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าแนวทางการผลิตและจำหน่ายข้าวในปัจจุบันจะต้องมีการปรับตัวเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวและใช้ประโยชน์จากข้าวอย่างคุ้มค่าด้วยการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในประเทศไทย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) จึงได้ริเริ่มในการพัฒนาโครงการข้าวกล้องงอกเพื่อสุขภาพ โดยร่วมมือกับสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและกลุ่มธุรกิจข้าวรายใหญ่ของประเทศจำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ปทุมไรซซ์มิลล์ แอนด์ แกรนารี จำกัด บริษัท เจียเม้ง จำกัด และ บริษัท ธวัทชัย อินเตอร์ไรซ์ จำกัด ในการพัฒนาสายการผลิตต้นแบบสำหรับผลิตผลิตภัณฑ์ข้าวกล้องงอก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมข้าวของประเทศไทย และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศ รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวไทย ซึ่งโครงการนี้ มุ่งเน้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวกล้องงอกสำหรับรับประทาน ที่มีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม รับประทานง่าย และผลิตภัณฑ์ข้าวกล้องงอกแปรรูปเพื่อสุขภาพต่าง ๆ เช่น อาหารว่าง ซุป และเครื่องดื่ม

Read More

ข้าวกล้องคืออะไร

ข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆกันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไปจนเหลือแต่เนื้อในของข้าว ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไป
ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง
•ได้วิตามินบีรวมช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมองทำให้เจริญอาหาร
• ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้
• ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก
• ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
• ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
• ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน
• ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
• ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล
• ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)
• ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย
• ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย
• วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ข้าวกล้องมีอะไรดีกว่าข้าวขาว ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่าช่วยป้องกันโลหิตจาง
• ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินเป็นประจำ จะป้องกันโรคเหน็บชา
• วิตามินบี 2 มีมากจะป้องกันโรคปากนกกระจอก
• วิตามินบีรวม มีมากกว่าจะป้องกัน และบรรเทาอาการอ่อนเพลียและขาไม่มีแรง อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ ลิ้นแตกหรือมีแผล ริมฝีปากเจ็บหรือมีแผล โรคผิวหนังบางชนิด โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบางชนิด

• วิตามินบีรวม ยังบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้นและเจริญอาหาร
• ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโลหิตจาง
• แคลเซียม มีมากกว่า จะทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
• ไขมัน มีมากกว่าให้พลังงานแก่ร่างกาย
• กากอาหาร มีมากกว่าจะช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
• เกลือแร่และวิตามินต่างๆ ในข้าวกล้อง มีรวมกัน 20 กว่าชนิด มีหน้าที่ทำให้การทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• โปรตีน มีมากกว่าช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) มีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมจะสมบูรณ์ขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น
• ประหยัดเงินทอง เพราะเจ็บป่วยน้อยกว่า ข้าวกล้องจะมีราคาถูกกว่า เพราะต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า
• มีผลทำให้สุขภาพจิตและสติปัญญาดีขึ้น เพราะสุขภาพกายดีขึ้น ผลเสียของการกินข้าวขาว โรคและอาการต่างๆ ต่อไปนี้ จะลดลงมากหรือป้องกันได้ ถ้ากิน ข้าวกล้อง เป็นประจำ และกินอาหารเพียงพอและถูกหลัก
• โรคเหน็บชา เพราะขาดวิตามิน-บี 1 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 1 มากกว่าข้าวขาว 385% (พบมากในประเทศที่กินข้าวขาวเป็นอาหารหลัก)
• โรคปากนกกระจอก เพราะขาดวิตามิน-บี 2 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 2 มากกว่าข้าวขาว 66% (ตามชนบทมีเด็กเป็นโรคปากนกกระจอก 60%)
• โรคโลหิตจาง เพราะขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากข้าวกล้องมีธาตุเหล็กมากกว่าข้าวขาว 2 เท่า (ประชากรไทยเป็นโรคโลหิตจาง 40%)
• โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (พบมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) เกี่ยวเนื่องจากมาจากการขาดธาตุฟอสฟอรัส และอื่นๆ ซึ่งมีในข้าวกล้อง นอกจากนั้นฟอสฟอรัสยังช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันอีกด้วย
• โรคท้องผูก เพราะมีกากอาหารน้อย ข้าวกล้องมีกากอาหารมากกว่า 133% (ข้าวกล้องช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่)
• โรคทางระบบประสาทบางชนิด และโรคปลายประสาทอักเสบ เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง (วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้น และเจริญอาหาร)
• อารมณ์เสียง่ายกว่า หงุดหงิดเพราะชาดวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินที่เสริมสร้างระบบประสาทของร่างกาย และถ้าระบบประสาทของเราไม่ดี ทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนัก
• เบื่ออาหาร เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งข้าวกล้องมีมากกว่าข้าวขาว
• โรคขาดโปรตีน ข้าวกล้องมีโปรตีน ร้อยละ 7-12 (เด็กไทยประมาณร้อยละ 40-60 เป็นโรคขาดโปรตีนและพลังงาน) ข้าวกล้องมีโปรตีนมากกว่าข้าวขาว 20-30%
• โรคผิวหนังบางชนิด ขาดวิตามินบีบางตัว
• อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ ปวดเมื่อยตามตัวและขา เพราะขาดวิตามินบีรวม
• โรคชัก เนื่องจากขาดวิตามิน บี 6 ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง
• ข้าวขาวมีแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) พอๆ กับข้าวกล้อง แต่มีเกลือแร่และวิตามินต่างๆ น้อยกว่าข้าวกล้อง (ในข้าวกล้องจะมีวิตามินรวมกัน 20 กว่าชนิด) ที่ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์
จะเห็นได้ว่า ผลเสียของการกินข้าวขาวมีมากเพราะการขัดสีส่วนที่มีคุณค่าต่อร่างกายออกไปหลายท่านอาจจะกินข้าวขาว เพราะไม่รู้ว่ายังมีข้าวที่มีคุณค่ามากอย่างข้าวกล้องอยู่ จนบางคนไม่เคยรู้จักข้าวกล้องด้วยซ้ำ คนสมัยโบราณแต่ละบ้านจะตำข้าวกินเอง ซึ่งเรียกว่า “ข้าวซ้อมมือ” ซึ่งก็คือ ข้าวกล้อง คนสมัยก่อนจึงมีร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคอย่างที่คนสมัยนี้เป็นกันเท่าไร เช่น โรคเบาหวาน, หัวใจวาย, มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะการกินไม่เป็น…

ข้าวกล้อง ข้าวสีน้ำตาล ไม่สวย ไม่น่ากิน แต่ว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายเรามากมาย ก็เพราะมันเป็นข้าวสีน้ำตาลขี้เหร่ๆ นี่แหละ ผิดกับข้าวขาวที่ถูกขัดสีฉวีวรรณเอาคุณค่าออกจนหมด เรามาดูกันว่าข้าวกล้องให้คุณค่าอะไรต่อร่างกายเราบ้างโปรตีนชั้นดี (ประมาณ 7-12%) ที่เรียกว่ากรดอะมิโนจำเป็น (ESSENTIAL AMINO ACID) วิตามินบีหนึ่ง : โรคเหน็บชา วิตามินบีสอง : โรคปากเปื่อยหรือปากนกกระจอก วิตามินบีสาม : บำรุงผิวหนังและเส้นประสาท วิตามินบีห้า : ช่วยในการรักษาแผล โรคอักเสบต่าง ๆ วิตามินบีหก : บำรุงประสาท กล้ามเนื้อ แพ้ท้อง โปแตสเซียม : ช่วยให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย แคลเซียม : บำรุงกระดูก ป้องกันตะคริว ทำให้เลือดแข็งตัว หัวใจเต้นสม่ำเสมอ ฟอสฟอรัส : บำรุงกระดูกและฟัน บำรุงสมอง ซิลิเนียม : บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ ป้องกันการอุดตันในเส้นเลือด ทองแดง : สร้างเม็ดเลือดแดง และสารฮีโมโกลบินในเลือด เหล็ก : ป้องกันและรักษาโรคโลหิต แมกนีเซียม : ทำให้ต่อมอวัยวะสมบูรณ์ และขจัดพิษบางอย่างได้ ไขมันที่ดี

Read More

ข้าวกล้อง

ประโยชน์ของข้าวกล้อง
ข้าวกล้องของดีเพื่อสุขภาพ

"ข้าวกล้องมีประโยชน์ทำให้ร่างกายแข็งแรง ข้าวขาวเม็ดสวยแต่เขาเอาของดีออกไป หมดแล้ว มีคนบอกว่าคนจนกินข้าวกล้อง เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละเป็นคนจน" พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ข้าวกล้องเมล็ดสีน้ำตาล หน้าตาไม่สวยใสเหมือนข้าวขัดขาว แต่การกินข้ากล้องนั้นทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มได้นานกว่า จึงไม่ทำให้อ้วน เพราะข้าวกล้องอุดมด้วยเส้นใยอาหารและคุณ ค่าทางอาหารมากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว บางคนอาจจะคุ้นเคยกับการเรียกข้าวกล้องว่า ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดง เพราะในสมัยโบราณชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินเอง จึงเรียกกันว่าข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวจึง เปลี่ยนมาเรียกว่า ข้าวกล้อง แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ล้วนแล้ว แต่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน
การกินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา โรคโลหิตจาง กรรมวิธีการหุงข้าวกล้องก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ถ้าใครหุงไม่เป็นอาจทำให้ข้าวแข็งไม่น่ารับประทาน พลอย ทำให้ไม่อยากทานข้าวกล้องไปเสียอีก วิธีง่ายๆ เลยคือเริ่มจาก การเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และควรซาวข้าวเพียงครั้ง เดียวเพื่อไม่ให้สูญเสียวิตามินไปกับน้ำซาวข้าว
ในการหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำในปริมาณที่มากกว่าการหุงข้าว ขาวเพราะข้าวกล้องมีเยื่อหุ้มเมล็ด การดูดซึมน้ำจะยากกว่าจึงต้อง ใช้เวลาหุงนาน แต่เพื่อเป็นการประหยัดเวลาควรจะแช่ข้าวกล้อง ก่อนหุงประมาณ 5-10 นาที ข้าวกล้องที่หุงแล้วจะได้นุ่มหอมน่ารับประทาน
การรับประทานข้าวกล้องนั้น สำหรับผู้ที่รับประทานใหม่ๆ อาจจะ ไม่เคยชิน รู้สึกฝืดคอแต่หากรับประทานไประยะหนึ่งจะรู้สึกว่า ข้าวกล้องหอม ยิ่งเคี้ยวนานๆ ก็จะได้รสชาติหวานอร่อย ได้รส ชาติมากกว่าข้าวขาว เคล็ดลับในการรับประทานข้าวกล้องอีกประการหนึ่งที่อยากจะ แนะนำคือ ควรรับประทานขณะที่ยังอุ่น เพราะข้าวจะนุ่มและ ควรรับประทานข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมด ในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องจะบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วไป

Read More